วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เคล็ดไม่ลับ 8 วิธีอวดผมสวยยามฝนพรำ

                                          

          ฝนก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผมเสีย นอกเหนือจากแสงแดด คลอรีน ยิ่งเข้าฤดูฝนยิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเจอกับฝนและคงไม่มีสาวไหนอยากมีผมแห้งเสีย เดอะบอดี้ ช็อป (ประเทศไทย) จึงนำเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ในการดูแลรักษาเส้นผมมาฝากสาวไทยด้วย 8 บัญญัติการดูแลเส้นผมง่ายๆ ด้วยตัวเองที่บ้าน

          1. เริ่มจากการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม ต้องมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีค่าความเป็นด่างที่สมดุล เช่น ครีมนวดผมต้องมีคุณสมบัติปรับสภาพเส้นผมให้ชุ่มชื่นและล้างออกได้ง่าย

          2. เวลาสระผมจะต้องนวดหนังศีรษะไปพร้อมกัน เพราะจะช่วยให้เกิดการหมุนเวียนโลหิตที่หนังศีรษะดีขึ้น ให้น้ำมันตามธรรมชาติไปหล่อเลี้ยงเส้นผม หรืออาจนวดระหว่างวันด้วยหวีแปรงไม้

          3. เมื่อผมเปียกชื้นอาจเป็นปัญหาหนึ่งที่สาวๆ อย่างเราต้องกังวล เพราะเวลาผมแห้งก็จะฟู ฉะนั้นอาจพกไดร์เป่าผมตัวจิ๋วไว้ในกระเป๋าหรือที่ทำงานสักอัน นอกจากจะได้ผมสลวยแล้ว เป็นอีกทางหนึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นหวัดได้เป็นอย่างดี

          4. เวลาเป่าผมให้แห้ง ควรเป่าผมจากบนลงล่าง เพราะเกล็ดผมจะเรียงตัวตามธรรมชาติ ทำให้เส้นผมเรียงตัวสวยและเรียบเงางาม ไม่ชี้ฟู

          5. สาวใดที่นิยมไดร์ผมให้ตรง ดัดผมด้วยโรลไฟฟ้า และรีดผมด้วยไฟฟ้า ต้องระวังเรื่องไฟดูดและควรใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องเส้นผมจากความร้อนด้วยเสมอ

          6. ถ้าจำเป็นต้องหวีผมขณะที่เปียก ควรใช้หวีซี่ห่างๆ จะช่วยให้เส้นผมขาดน้อยลงได้

          7. การกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพที่ดีด้วยเช่นกัน ควรเลือกอาหารจำพวก ผัก ผลไม้ และควรดื่มน้ำให้มาก หลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านกระบวนการขัดสี รวมทั้งพยายามงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ ก็จะเรียกได้ว่าเป็นการบำรุงให้ผิวและผมสวยใสจากภายในสู่ภายนอกนั่นเอง

          8. ถ้าต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง ควรปกป้องเส้นผมจากแสงแดดด้วยการสวมหมวก หรือทาครีมปรับสภาพผมทิ้งไว้เมื่อต้องออกแดด จากนั้นค่อยล้างออกตามปกติ

          นอกจากนี้ปัญหาของสภาพผมสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากกว่าการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สะเปะสะปะ ซึ่งสามารถนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้ที่บ้านได้

          สาวผมมัน นำว่านหางจระเข้มาฝานเปลือกออก แล้วนำเนื้อเจลไปปั่น จากนั้นตักมา 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา และแชมพูที่ใช้อยู่อีก 1 ถ้วยตวง แล้วนำไปสระผมตามปกติ จะช่วยให้เส้นผมมีสมดุล ไม่แห้งและมัน

          สาวผมแห้ง นำอโวคาโด 1 ผล ปอกเปลือกและบดให้ละเอียด ผสมกับกะทิจนเป็นเนื้อเดียวกัน ใช้หมักผมหลังจากสระผมเรียบร้อยแล้ว โดยนวดให้ทั่วศีรษะ ใช้หวีซี่ห่างๆ แปรงผมให้เป็นระเบียบ ทิ้งไว้ 15 นาทีจึงล้างออก

          สาวผมไม่มีน้ำหนัก ควรใช้น้ำส้มสายชูเศษหนึ่งส่วนสองถ้วยตวง ผสมน้ำเปล่า 1 ถ้วยตวงและน้ำมันอัลมอนด์ 1 ช้อนโต๊ะเข้าด้วยกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้มานวดเส้นผมและหนังศีรษะขณะเปียกให้ทั่ว ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วจึงล้างออก

          ส่วนสาวที่มีปัญหารังแค หลังจากสระผมด้วยแชมพูขจัดรังแคตามปกติแล้ว นำชาโรสแมรี่ที่ทิ้งไว้จนเย็นมาล้างผมในน้ำสุดท้าย หรือใช้ชาโรสแมรี่ผสมกับแชมพูในอัตราส่วน 70 ต่อ 30 หรือใช้แชมพูซึ่งมีส่วนผสมจากน้ำมันมานูก้า ทีทรี ไรม์ การสระผมทุกครั้งต้องแน่ใจว่าได้ล้างแชมพูออกจนหมด เพราะสารตกค้างจะเร่งให้หนังศีรษะผลิตน้ำมากและทำให้รากผมมัน


          เพียงเท่านี้เส้นผมก็จะสลวยเงางามมีสุขภาพดี
                 

วันนี้ก็ได้นำข้อมูลดีๆมาจาก เดอะบอดี้ ช็อป (ประเทศไทย)  เพื่อสาวๆที่รักผมกันค่ะ  เป็นประโยชน์กันมากเลยใช่ม้าา ยังไงก็ลองทำดูกันน้ะค้ะ  

http://writer.dek-d.com/annjong/story/viewlongc.php?id=179678&chapter=2

เคล็ดลับการดูเเลเส้นผม


สาวๆหลายคนคงอยากมีผมที่ดูสวย มีน้ำหนัก ดูเงางามกันใช่ม้าาา  ก็แหมม หน้าเป๊ะ แต่ผมไม่สวย ออร่าก็ดับน้ะซิ  แต่ทั้งนีัทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพเส้นผมของแต่ละคนด้วยน้ะคะ  วันนี้เราจึงเอาใจสาวๆด้วยการนำเคล็ดลับดีๆ ในการดูเเลเส้นผมมาฝากกันค่ะ 


                                                    

                                                         



 1. ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม

          ผมเส้นเล็กบาง ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเคราติน คาราไมล์ หรือแพนทีนอล เพื่อปกป้องเส้นผมให้รอดพ้นจากการทำลายของสายลม แสงแดด และช่วยให้ผมดูหนาขึ้น

2 เปลี่ยนผมแสกข้าง


          ถ้าคุณแคยแต่แสกผมอยู่ข้างเดียวมาตลอด จะทำให้ทรงผมแบนราบอยู่ด้านเดียว ทดลองเปลี่ยนผมแสกข้างมาอีกด้านหนึ่งบ้างจะทำให้ผมดูหนาและได้รูปทรงดีขึ้น ช่วยหนีความจำเจได้อีกด้วย

3 แชมพูช่วยขจัดสารเคมีที่ตกค้าง

          หากใช้ยาสระผมจำพวก แคลริฟายอิง แชมพู (Clarifing Shampoo) จะทำให้ผมเส้นเล็กดูหนาและจัดทรงง่ายขึ้น คุณควรสระผมด้วย แคลริฟายอิง แชมพู อาทิตย์ละหนึ่งครั้ง เพื่อชำระล้างสารเคมีที่ตกค้างบนเส้นผม ปรับสภาพสู่สมดุลตามธรรมชาติ

4 ผมแห้ง

          ไม่ควรใส่ทรีตเมนต์ขณะที่ผมยังเปียกอยู่เพราะจะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ให้ไดร์ผมเป็นรูปกากบาทจนเกือบแห้ง แล้วจึงนวดผมด้วยโฟมแต่งผม จากนั้นไดร์ให้แห้ง

5 ผลิตภัณฑ์ ทู อิน วัน

          ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ประเภท ทู อิน วัน เพราะจะมีสารตกค้างติดเส้นผมทุกครั้งที่สระ จะทำให้ผมเกาะติดกันและยากต่อการจัดทรงผม

6 การฉีดสเปรย์

          เมื่อทำผมเสร็จ ให้ฉีดสเปรย์จากล่างขึ้นบน สำหรับผู้ที่มีผมยาวไม่ควรฉีดสเปรย์บนศีรษะ แต่ให้ฉีดจากด้านข้างและด้านล่างขึ้นมา จะทำให้ผมได้ทรงสวย

7 ใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมเพียงเล็กน้อย


          โดยปกติ คนที่มีผมเส้นเล็กมักใช้แวกซ์ เจล หรือบาล์ม แต่จริงๆ แล้วผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่เหมาะกับผมเส้นเล็ก เพราะจะทำให้ผมแข็งทื่อและหยาบ นอกจากนี้ เมื่อคุณออกไปเจอสายลม แสงแดด น้ำยาแต่งผมจะเกาะกันเป็นก้อน ลองเปลี่ยนมาใช้สเปรย์จัดแต่งทรงผมในระหว่างไดร์ผม โดยฉีดจากล่างขึ้นบนทีละช่อและไดร์ให้แห้ง ผมจะนุ่มสลวยได้รูปทรงดี

8 สระผมทุกวัน

          ผมเส้นเล็กมักจะมีปัญหาผมมันเร็ว จึงควรสระผมทุกวันด้วยโวลุ่ม แชมพู (Volume Shampoo) โดยไม่ต้องใช้ครีมนวดผม เพื่อทำให้ผมมีน้ำหนักและหนาขึ้น

9 การดูแลผมเส้นเล็กแบบง่ายๆ


          โดยทั่วๆ ไป วิธีการดูแลรักษาผมเส้นเล็กบอบบางมักจะยุ่งยากโดยไม่จำเป็น ผลิตภัณฑ์พิเศษในการดูแลรักษาผมเส้นเล็กก็คือ ผลิตภัณฑ์ที่มีโวลุ่มเพียงเล็กน้อยก็ช่วยทำให้เส้นผมแข็งแรงเพียงพอ

10 ทำทรงผมให้มีชีวิตชีวา

          ฉีดผมให้ชื้น จากนั้นนวดผมด้วยครีมจัดแต่งทรงผมหรือโฟมเล็กน้อย และปล่อยให้แห้งเอง

11 ทำผมให้ตัวเอง

          ผู้ที่มีผมยาวและเหยียดตรง หากมัดผมให้สูงเป็นหางม้าทิ้งไว้ทั้งคืน รุ่งขึ้นคุณจะมีผมทรงใหม่อีกสไตส์หนึ่ง ประหยัดทั้งเงินและเวลาเข้าร้านทำผม

12 เครื่องไดร์ผม

          การไดร์ผมอย่างถูกวิธีจะทำให้สวยได้นานหลายชั่วโมง เพราะว่ารูเล็กๆ ของเครื่องไดร์ผม จะเป่าตรงโคนผมได้ ทำให้ทรงผมอยู่ตัว

13 ผมเย็น

          หลังจากที่ไดร์ผมเสร็จแล้ว ควรปล่อยให้ผมเย็นลงทุกครั้งก่อนที่จะแต่งทรงผม เพราะจะทำให้ผมดูหนาและอยู่ทรงได้นาน ไม่ทำลายสภาพผมด้วย

14 โรลม้วนผมจัมโบ้

          สำหรับผู้ที่ไว้ผมยาวหรือมีความยาวระดับไหล่ ให้ไดร์ผมจนเกือบแห้ง จากนั้นฉีดโวลุ่มสเปรย์(Volume Spray) ให้ชื้นแล้วจึงม้วนผมด้วยโรลจัมโบ้ (อย่าม้วนผมลดหลั่นกัน แต่ให้ม้วนไปรอบๆ) จากนั้น ไดร์ผมและปล่อยให้เย็นลง ก็จะได้ผมสวยตามต้องการ

15 การทำให้ผมไม่แบนราบ


          เทคนิคการตัดผมเพื่อหนุนให้ผมได้ทรงตามต้องการและแลดูหนา สำหรับผมที่ไม่มีน้ำหนักและยาวแค่คาง ให้แบ่งผมบนศีรษะและตัดผมบริเวณโคนผม สัก 2-3 ซ.ม. ให้เป็นรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ จะช่วยให้จัดผมได้รูปทรงสวยและไม่แบนราบ

16 เทคนิคสำหรับผมสั้น

          นวดผมด้วยน้ำยาจัดแต่งทรงผม แล้วจึงหนีบผมด้วยที่หนีบและไดร์ผมที่โคน จากนั้นปล่อยให้เย็นลง ดึงที่หนีบออก และเอานิ้วยีผมให้เป็นทรง

17 แปรง

          ก่อนที่ผมจะแห้ง ให้ไดร์ผมโดยใช้แปรงกลม หวีเข้าด้านในบ้าง ด้านนอกบ้างสลับกันไป แล้วจึงฉีดสเปรย์

18 การไดร์ผม

          ไม่ควรไดร์ผมทันทีหลังสระ แต่เช็ดผมพอหมาดด้วยผ้าขนหนูก่อน จากนั้นฉีดโวลุ่มสเปรย์ที่โคนผมแล้วจึงไดร์ผมทั้งศีรษะโดยใช้มือช่วย

19 ผมอยู่ทรง

          แบ่งผมแล้วจับยกให้สูง จากนั้นฉีดสเปรย์ที่โคนผมและไดร์ให้แห้งแล้วปล่อยให้ผมเย็นลง วิธีนี้จะทำให้ผมอยู่ทรงและดูหนาขึ้น


แค่นี้ผมของสาวๆก็จะเเลดูสวยเเล้วล้ะค้ะ อ่านเเล้วอย่าลืมปฏิบัติตามน้ะค้ะ 
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก http://women.kapook.com/view4696.html

สาเหตุของการเกิดสิว


เฮ้ออ... ตอนนี้สาวๆคนไหนีปัญหา สิว มากวนใจบ้างคะ เป็นผู้หญิงนี่ลำบากจริงๆเลยย หน้าต้องใสตลอดดด  เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาดูสาเหตุของการเกิด สิว กันค่ะ จะได้รู้จักวิธีการรักษาใบหน้าไปด้วยเลย 

สาเหตุของการเกิดสิว
ยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดสิวอย่างแน่ชัดแต่เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในร่างกายจะมีผลต่อการเกิดสิว นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอย่างอื่นที่มีผลต่อการเกิดสิว เช่นกรรมพันธื อารมณ์ อาหาร อากาศ ยา

การเกิดสิว

ต่อมขุมขนของคนเราประกอบไปด้วยส่วนต่างๆได้แก่
  • ต่อมไขมันหรือ Sebaceous gland
  • รากขนหรือ Follicle
  • ไขมันหรือ Sebum
  • และมีรูเปิดหรือเรียกว่า pore สู่ผิวหนัง
การเกิดสิวเกิดจากต่อมไขมันผลิตไขมันมาก และมีการอุดกลั้นทางเดินของไขมัน ทำให้สิวซึ่งอาจจะเป็นสิวหัวขาว หรือหัวดำก็ได้ หากมีการติดเชื้อแบคทีเรียจะทำให้เกิดการอักเสบของสิว เช่นเป็นหนอง
ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวได้แก่

ต่อมขุมขน

  • ฮอร์โมน ร่างกายสร้างฮอร์โมน Androgen ทำให้มีการสร้างไขมันเพิ่ม โดยมากฮอร์โมนจะเริ่มสร้างเมื่ออายุ 11-14 ปีดังนั้นจึงพบสิวมากในวัยนี้และอาจจะอยู่ได้นานหลายปี
  • การผลิตไขมันมากขึ้นและร่วมกับเซลล์ผิวหนัง และเชื้อแบทีเรียทำให้เกิดการอุดตันจนเกิดสิว
  • มีการเปลี่ยนแปลงของรากผม รากผมเจริญเร็วเซลล์มีการแบ่งตัวเร็ว และมีเซลล์ที่ตายมาก จึงเกิดการอุดตันของต่อมไขมัน
  • แบททีเรียโดยเฉพาะชื่อ Propionibacterium acne จะทำให้เกิดการอักเสบของสิว
  • กรรมพันธ์
  • การทำงานของต่อมไขมัน หากที่ใดที่มันและร่วมกับการดูแลรักษาความสะอาดไม่ทั่วถึงก็ทำให้เกิดสิว
  • อาหารโดยทั่วไปไม่มีผลต่อการเกิดสิว แต่ก็มีความเชื่อกันว่าการรับประทานอาหารที่มัน หรือหวานจะเกิดสิวได้ง่าย
  • อากาศ ขึ้นกับแต่ละคนบางคนเป็นมากในฤดูหนาว บางคนฤดูร้อน
  • อารมณ์ คนที่อารมณ์ดีจะเกิดสิวน้อยกว่าคนที่อารมณ์เสีย
  • การใช้เครื่องสำอางค์เป็นปัจจัยที่สำคัญในการเกิดสิว การเลือกสบู่ที่เหมาะกับสภาพผิวหนัง คนที่มีแห้งควรจะใช้สบู่ที่เป็นด่างอ่อน คนที่ผิวมันก็อาจจะใช้สบู่ที่มีความเป็นด่างมากขึ้นได้ หรืออาจจะใช้สบู่ที่มีด่างอ่อนแต่ล้างหน้าบ่อยขึ้น
  • ครีมบำรุงผิวก็ต้องเลือกใหถูกกับผิวหน้า คนที่ผิวแห้งไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่มีแอลกอฮอร์เป็นส่วนประกอบ คนที่ผิวมันก็หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีไขมันสูง
  • การระคายผิว เช่นการล้างหน้าที่มีการถูมาก หรือการบีบสิว
  • ยาบางชนิดทำให้เกิดสิวเพิ่มขึ้น เช่น INH Iodides Bromide Steroid Testosterone Gonadotropine Anabolic steroid ยาคุมกำเนิด
ตำแหน่งที่เกิดสิว
1
ตำแหน่งที่เกิดสิวได้แก่บริเวณที่ไขมันมากได้แก่ หน้า ไหล่ หลัง อก

นอกจากนี้ ตำแหน่งสิวที่เกิดบนใบหน้าของเรานั้น  ยังสามารถบ่งบอกอะไรได้อย่างด้วนน้ะคะ

                                 
  • หน้าผากด้านซ้ายและขวา เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะและต่อมหมวกไต สาเหตุของการเกิดสิว มาจากการทที่เรามีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด และทารองพื้นหรือแต่งคิ้วมากเกินไป
  • หว่างคิ้ว อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส(ดื่มนมวัวไม่ได้สาเหตุของการเกิดสิวอาจเกิดจากการกินอาหารรสจัดหรือกินอาหารดึกเกินไป
  • ใบหูทั้ง ข้าง เกี่ยวข้องจากการทำงานของไต สาเหตุของการเกิดสิว มาจากการที่บางครั้งเราล้างแชมพูหรือสบู่ออกไม่หมด ใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป ดื่มกาแฟ แอกอฮอล์ หรือกินเนื้อสัตว์มากเกินไป หรือหากมีปัญหาสิวอุดตันช่วงใบหู อาจแสดงว่าฟันกรามมีปัญหา หรือว่าเพิ่งผ่าตัดฟันมา หรืออาจเกิดจากการมีรอบเดือน
  • แก้มทั้ง ด้าน แก้มส่วนบน เกี่ยวข้องกับไซนัสและปอด แก้มส่วนล่าง เกี่ยวข้องกับเหงือกและฟัน สาเหตุของการเกิดสิว อาจเกิดจากการสูบบุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรังหรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม แต่ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวเป็น ๆ หาย ๆ ที่แก้มด้านล่างอาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด(โอ้โห ไม่น่าเชื่อว่าจะเกี่ยวกันด้วย!)
  • รอบดวงตาทั้ง ข้าง เกี่ยวข้องกับการทำงานของไต โรคภูมิแพ้ สาเหตุของการเกิดสิว อาจจะมาจากการใช้เครื่องสำอางที่ใช้ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว หรือใส่แว่นที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือพักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีความระคายเคืองอาจมาจากการเป็นภูมิแพ้ หรือขาดสารอาหาร
  • จมูกและเหนือริมฝีปาก เกี่ยวข้องกับการทำงานของหัวใจและระบบสืบพันธุ์ หากมีผิวสีแดงเข้มที่จมูก อาจบ่งบอกถึงโรคความดันโลหิตสูง การอุดตันหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ บอกถึงผลกระทบจากฮอร์โมน เช่น กำลังมีประจำเดือน วัยทอง การใช้ยาคุมกำเนิด
  • ใต้ริมฝีปากด้านซ้ายและขวา เกี่ยวข้องกับการทำงานของรังไข่ สาเหตุของการเกิดสิว อาจทำความสะอาดไม่ดีพอ หรือมาการขาดความสมดุลทางฮอร์โมน
  • ปลายคาง เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก สาเหตุของการเกิดสิว อาจมาจากการกินอาหารรสจัดเกินไปจนลำไส้เป็นแผล หรือมีปัญหาในการดูดซึม
  • ลำคอและหน้าอก สาเหตุของการเกิดสิว อาจเกิดจากความเครียด (ซึ่งเป็นที่มาของร้อยแปดพันเก้าโรค)


ยาสำหรับรักษาสิว

ยารักษาสิวมีทั้งชนิดทาภายนอกและชนิดรับประทาน สิวชนิดไม่รุนแรงหรือไม่มีการอักเสบมักจะใช้ยาทาภายนอก อาจจะใช้ชนิดหนึ่งหรือหลายชนิดร่วมกัน ยารักษาสิวมักจะทำให้อาการดีขึ้นแต่ไม่หายขาด ยาที่ใช้รักษามีดังนี้
สบู่และน้ำ
การใช้สบู่อ่อนหรือสบู่ที่เป็นกลางหรือสบู่สำหรับใช้กับเด็กล้างด้วยน้ำสะอาดวันละ 2-3 ครั้งอย่าให้มากกว่านี้เพราะจะทำให้แห้งไปและอาจจะเกิดปัญหากับผิวหนังได้ สบู่ที่ใช้ไม่ควรจะเป็นด่างมากเกินไป และไม่ควรที่จะถูแรงๆเพราะจะทำให้ผิวหนังพกช้ำและเกิดปัญหา
Benzoyl peroxide
เป็นชนิดครีมหรือเจล 2.5% 5% 10% เมื่อทายาไว้บนผิวหนังปริมาณเชื้อและไขมันบนผิวหนังจะลดลง ยานี้จะมีระคายเคืองต่อผิวหนังจะทำให้ผิวหนังลอกหลุดเร็วขึ้น ทำให้ปริมาณหัวสิวลดลง ในระยะแรกของการใช้ยาอาจจะทำให้ผิวหนังแดงอักเสบจึงควรจะเริ่มใช้ยาในขนาดความเข็มข้นต่ำๆ ทาระยะเวลาสั้นเช่น 5-10 นาที แล้วล้างออก เมื่อผิวหนังทนต่อยาจึงเพิ่มความเข้มข้น และทาไว้นานขึ้นจนไม่ต้องล้างออก ทาวันละ 2 ครั้งเมื่อทาตามบริเวณลำตัวอาจจะทำให้สีเสื้อจางลง
salicylic acid
กรดนี้จะช่วยละลายขุยทำให้สิ่งสกปรกหลุดออก แต่จะไม่ช่วยในการลดการสร้างไขมัน ยานี้จะต้องใช้อย่างต่อเนื่องเมื่อหยุดยาก็จะกลับเป็นใหม่
Sulfer
เป็นยาที่ใช้กันมาตั้งแต่แรกเริ่ม โดยมากต้องผสมกับสารชนิดอื่น เช่น alcohol,salicylic acid,resorcinol ยาชนิดนี้มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ แต่ยาทาส่วนใหญ่ก็มีตัวยานี้ผสม
สำหรับสมุนไพรหรือสารธรรมชาติก็ยังไม่มีหลักฐานว่าได้ผลสำหรับยาที่ควรจะปรึกษาแพทย์ไม่ควรจะซื้อยาเองได้แก่

ยาทา

ยาทาที่เป็นปฏิชีวนะ
  • Azelaic acid ยานี้จะลดประชากรของเชื้อ Propionibacterium และละลายขุย ยานี้ทำเป็นรูปครีม อาจจะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์จนถึงหลายเดือน
  • erythromycin solution 1-4% ออกฤทธิ์โดยการต้านเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ เมื่อใช้ร่วมกับ Bebzoyl peroxide จะทำให้ได้ผลดี
  • Clindamycin phosphate solution 1%
  • Tetracyclin เป็นยาทาตัวแรกๆที่ได้มีการนำมาใช้ทาเพื่อรักษาสิว แต่ปัจจุบันได้รับความนิยมลดลงเนื่องจากผลข้างเคียงของยา
  • Sulfonamide ทำเป็นรูปสารละลายซึ่งยังมีการใช้ยาชนิดนี้อยู่
ยาทาชนิดอื่น
  • อนุพันธ์ของกรดวิตามินเอTretinoin เป็นยารักษาสิวที่ให้ผลค่อนข้างดีชนิดยาทาภายนอน ยาตัวนี้เป็นยาละลายขุยซึ่งทำเป็นรูปครีมหรือเจลความเข้มข้น 0.01-0.1% ยานี้จะมีอาการระคายเคืองต่อผิวหนังทำให้ผิวหนังแดง แห้ง ลอกเป็นขุยดังนั้นจึงต้องทายาในขนาดความเข้มข้นต่ำๆ เมื่อใช้ร่วมกับ Benzoyl peroxide ให้ใช้ Benzoyl peroxide ทาในตอนเช้า ส่วนวิตามินเอให้ทาก่อนนอน
  • Adapalene เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ มีผลข้างเคียงเหมือนอนุพันธ์วิตามินเอ
  • Tazarotene เป็นสารสังเคราะห์วิตามินเอ
ยาปฏิชีวนะ
  • Tetracyclin เป็นยาที่ใช้รักษาสิวตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันมักจะให้ในรายที่ผู้ป่วยเป็นสิวค่อนข้างมากตั้งแต่สิวที่เป็นหนอง โดยเริ่มต้น 500-1000 มิลิกรัมต่อวัน เมื่อดีขึ้นจึงลดขนาดของยาลง และอาจจะต้องให้ยาในขนาดต่ำเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ ไม่ควรให้ยานี้ในเด็กและคนท้อง
  • Erythromycin สำหรับผู้ที่ใช้ tetracyclin ไม่ได้เช่น เด็ก คนท้อง คนที่แพ้ยา tetracyclin
  • Minocycline Doxycycline เป็นยาสังเคราะกลุ่ม tetracycline ห้ามใช้ในคนท้อง
ฮอร์โมน
  • estrogen เป็นฮอร์โมนที่ออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนทำให้มีการสร้างไขมันลดลง แต่การใช้ต้องระวังผลข้างเคียงเช่นมะเร็งเต้านม
  • ยาคุมกำเนิด นิยมใช้รักษาสิวมากกว่า estrogen เดี่ี่ยวๆเนื่องจากผลข้างเคียงต่ำกว่า อาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน คัดเต้านม การใช้ยาคุมเมื่อการรักษาวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล
Steroid
จะใช้ในกรณีที่เป็นสิวมาก ควรจะใช้ในระยะเวลาสั้นๆ เพราะหากใช้ในระยะเวลานานจะเกิดโรคแทรกซ้อน
Isotretinoin
เป็นยาที่ใช้ได้ผลสำหรับสิวที่ดื้อต่อยาหรือการรักษา เหมาะสำหรับสิวหัวช้าง cystic acne ยาชนิดรับประทาน Isotretinoin ใช้รักษาสิวชนิดดื้อต่อการรักษาชนิดอื่น ยานี้จะทำให้ไขมันและเชื้อลดลงจึงไม่เกิดสิว ยานี้มีผลข้างเคียงมากจึงไม่แนะนำให้ซื้อรับประทานเอง ผลข้างเคียงที่พบได้คือปากแห้ง ผิวแห้งแตก ผมร่วงปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ สำหรับคนท้องก็อาจจะทำให้เด็กเกิดมาพิการและแท้ง ผลข้างเคียงอื่นๆที่พบได้แก่ คลื่นไส้อาเจียนปวดข้อปวดกระดูก ปวดหัว การใช้ยานี้ต้องคุมกำเนิด และหากต้องการตั้งท้องต้องหยุดยานี้ 1 เดือน

เอาล่ะคะ วันนี้ก็ต้องขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก 
http://www.siamhealth.net/public_html/Health/Photo_teaching/acne_cause.html#.U6hHTvl_tVY

http://www.dek-d.com/lifestyle/9599/

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2557

มารู้จัก SUNGHA JUNG กัน


   คาดว่าเพื่อนๆ ที่ชื่นชอบการเล่นกีตาร์ หรือ ชอบเกี่ยวกับดนตรี คงจะรู้จักหนุมกรุงโซลอย่าง 
SUNGHA JUNG  กันบ้างใช่ไหมคะ  ซึ่งคนนี้ๆก็อาจจะเป็นไอดอลของใครหลายๆคนอยู่กันใช่ม้าา  มาดูประวัติส่วนตัวของเค้ากันเถอะค่ะ >< 


    





ชื่อ : Sungha Jung (อ่านว่า ซองฮา จอง นะคะ เพราะซองฮาก็เรียกตัวเองว่าอย่างนั้นค่ะ^^)
วันเกิด: 2 กันยายน 2539(1996)  ปัจจุบัน(2555)อายุ 15 ปี
สัญชาติ: เกาหลีใต้
บ้านเกิด: cheongju, south korea 

ครอบครัว: พ่อ:Jung WooChang  แม่:Park Eun Joo  น้องสาว:Jung Suha  สุนัข: coco 4 ขวบ มอลทีส เพศเมีย สีขาว
เด็กผู้หญิงด้านหน้า คือ ซูฮา น้องสาวของซองฮา จอง ค่ะ
การเรียน: Choeng Shim International Academy (CSIA) เป็นโรงเรียนประจำ อยู่บนเขา ใช้ภาษาอังกฤษในการเรียน(รร อินเตอร์ ค่ะ ทำให้ภาษาอังกฤษของซองฮาพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ)ซึ่งมีถึง ม.3 เท่านั้น พอเรียนจบ ม.3 แล้วซองฮาเลือกที่จะเรียน home school ที่บ้าน เพราะตั้งใจที่จะทำทางด้านดนตรีให้เต็มที่ ดังนั้น ในเมื่อซองฮาเลือกทางนี้แล้ว ก็ขอให้แฟนคลับติดตาม และสนับสนุนซองฮาตลอดไปเลยนะคะ เพราะอายุแค่ 15 ปี เขาก็สามารถทำงานหาเลี้ยงครอบครัวได้แล้ว เจ๋งสุดๆเลย
เว็บไซต์ของซองฮา: www.sunghajung.com  , www.youtube.com/jwcfree  ,http://cafe.daum.net/blueseaJSH 
twitter: @jungsungha , @Adel4Dee (คุณดีคิม ผู้จัดการซองฮา ตอบทวิตบ่อยด้วย)
เว็บแฟนคลับในไทย: www.sunghajungthailand.com , group ใน facebook ชื่่อว่า Sungha Jung Official Thailand Fan Club   (ครึกครื้นมากๆเลยล่ะค่ะ), page ใน facebook คือ www.facebook.com/sunghajungthailand     (officialค่ะ)
twitter ของแฟนคลับไทย: @shjth  (official ค่ะ) , @borntobe0902
แฟนคลับจะชื่อว่า perfect blue(ตามชื่ออัลบ้ัมแรกของซองฮา) ค่ะ ใช้สีฟ้าค่ะ

ซองฮาเริ่มเล่นกีตาร์ตั้งแต่อายุ 10 ปี ตามคุณพ่อของเขา ก่อนหน้านี้เคยเรียนเล่นเปียโน แต่รู้สึกเบื่อนิดๆ แบบไม่ใช่แนวที่ชอบ พอเริ่มเล่นกีตาร์ก็รู้สึกสนใจ และชอบมาก แรกๆพ่อก็เป็นคนสอน พอหลังๆเริ่มเก่งแล้วก็หัดเล่นเพลงที่ตัวเองชอบ โดยไม่ดู tab เลยด้วย พอเริ่มเก่ง คุณพ่อของเขาก็อัดวิดิโอลง youtube ซึ่งเป็นที่แจ้งเกิดซองฮาเลยก็ว่าได้  โดยตั้งชื่อช่องว่า jwcfree (แอบรู้มาว่าjwc ก็คือ  jung woochang ชื่อพ่อของซองฮานั่นเอง) มาดูคลิปกันเลยค่ะ




                                           











นอกจากนี้ SUNGHA JUNG ยังเคยมาประเทศไทย และได้มีโอกาสเล่นเพลงไทย ด้วยน้ะคะ มาฟังกันเลยค่ะ








ขอขอบคุณ http://group.dek-d.com/shjth/myboard/view.php?id=1423  มากค้ะ

สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำในการออกกำลังกาย


เมื่อครั้งก่อนเราได้นำเสนออาหารควรทานทุกวันเพื่อสุขภาพกันเเล้ว นอกจากการทานอาหารแล้ว เราก็ต้องออกกำลังกายกันด้วยน้ะคะ เเต่การออกกำลังกายก็ต้องออกกำลังกายให้ถูกวิธี สิ่งไหนที่ควรทำและไม่ควรทำเราก็ควรจะรู้ไว้เพราะถ้าออกกำลังกายอย่างผิดวิธีก็อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้  มาดูกันเลยค่ะ 



 สิ่งที่ควรทำในการออกกำลังกาย

          1. ควรเช็คสมรรถภาพร่างกายของตัวเองก่อนเป็นอันดับหนึ่ง ต้องรู้ว่าสภาพร่างกายของตัวเองนั้นเป็นอย่างไร มีปัญหาที่ส่วนไหนบ้างรึเปล่า เช่น แขน ขา ข้อ หรือเข่า เพื่อเลือกเล่นกีฬาที่เหมาะสมกับตัวเอง และต้องดูว่าสุขภาพของเราแข็งแรงดีอยู่หรือไม่ เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับเราได้

          2. วอร์ม หรือยืดกล้ามเนื้อก่อน และหลังออกกำลังกายสัก 3-5 นาที เพื่อให้กล้ามเนื้อของน้องๆ นั้นเตรียมพร้อมที่จะยืด และคลายตัว เพื่อที่จะรองรับการยืดหยุ่นในการออกกำลังกายในท่าทางต่างๆ รวมทั้งทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้นอีกด้วย
                                   
3. ต้องมีการพักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าอดนอน หรือพักผ่อนไม่เต็มที่ ก็ไม่ควรจะหักโหมเล่นกีฬา เพราะจะทำให้ร่างกายทนไม่ไหว และอาจจะทำให้หน้ามืดได้ ควรเล่นออกกำลังกายโดยไม่ฝืนสภาพร่างกายของตัวเอง
                             
          
4. เตรียมเวลาให้เพียงพอ ควรใช้เวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง สำหรับการออกกำลังกายในแต่ละครั้ง โดยปกติจะออกกำลังกาย 1 ชั่วโมง และอีก 1 ชั่วโมงสำหรับการอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายที่สกปรกจากคราบเหงื่อ และสิ่งสกปรกต่างๆ ที่ติดตัวเรามา

5. ควรตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องมือ ที่จะใช้ในการออกกำลังกายให้พร้อม และอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดี เพื่อป้องกันอันตรายจากอุบัติเหตุ ที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะอุปกรณ์มีความแข็งแรงไม่เพียงพอ
                                 5 สิ่งที่ควรทำ และ 5 สิ่งที่ไม่ควรทำในการออกกำลังกาย


สิ่งที่ไม่ควรทำในการออกกำลังกาย

          1. ไม่ควรดื่มกาแฟก่อนจะออกไปเล่นกีฬา หรือออกกำลังกาย เพราะคาเฟอีนจะไปกระตุ้นการเต้นของหัวใจ ทำให้เกิดการเต้นผิดจังหวะ จึงจะทำให้เกิดอาการเหนื่อยหอบได้ บางคนอาจเกิดอาการหายใจสะดุดซึ่งเป็นอันตรายเป็นอย่างมาก
                       
          
2. ไม่ควรทานอาหารมื้อหนัก หรือมื้อใหญ่ ก่อนออกกำลังกาย 1 ชั่วโมงครึ่ง เพราะอาหารที่ทานเข้าไปนั้นยังไม่ย่อย และจะทำให้เกิดอาการจุกเสียดได้
                          
         
 3. หลังเล่นกีฬาเสร็จแล้วอย่าดื่มน้ำเย็นจัด หรืออาบน้ำเย็นทันที เพราะร่างกายของน้องๆ นั้นยังชื้นเหงื่ออยู่ ควรรอให้แห้งเสียก่อน ให้ระบบร่างกายของน้องๆ ได้มีการปรับอุณหภูมิให้เป็นปกติก่อน ไม่อย่างนั้นจะทำให้เกิดอาการไม่สบายได้
                                   
 
4. ไม่ควรเคี้ยวหมากฝรั่ง หรืออมลูกอมขณะออกกำลังกาย เพราะจะทำให้ระบบหายใจเกิดอาการผิดปกติ เนื่องจากมีก๊าซออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อได้ไม่ต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้เกิดอาการล้า และง่วงหงาวหาวนอนได้ง่าย
                         
          
5. อย่าหักโหมในออกกำลังกาย เพราะหวังจะให้น้ำหนักลดภายในวันสองวัน เพราะนอกจากจะเป็นไปได้ยากแล้ว ยังจะทำให้สุขภาพร่างกายเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายอีกด้วย

ทีนี้เพื่อนๆก็รู้แล้วใช่ไหมคะ ว่าการออกกำลังที่ถูกต้องเพื่อความปลอดภัยควรจะทำอย่างไร อย่าลืมทำตามทุกครั้งตอนออกกำลังกายน้ะคะ 
ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก http://www.dek-d.com/boy/28209/

10 สุดยอดอาหารที่ควรทานทุกวัน

                                     
ช่วงนี้เข้าหน้าฝน หลายๆคนคงอาจจะเป็นหวัด  ไม่สบาย กันบ้างใช่ไหมคะ ? วันนี้เราเลยมีอาหารที่ควรจะทานกันทุกวัน นอกจากการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่  เพื่อสุขภาพร่างกายที่เเข็งเเรงกันค่ะ  เพราะหลายๆคนคงอยากจะมีสุขภาพที่แข็งเเรงมาจากภายในใช่ไหมล้ะคะ  ไปดูพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

    1. เบอร์รี่ 

              แม้ว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จะเคยเป็นผลไม้ที่หาทานได้ยากในบ้านเรา แต่ในสมัยนี้เห็นจะไม่ใช่อย่างนั้นแล้วล่ะค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้เค้ามีขายกันเกลื่อนตามห้างสรรพสินค้า และท้องตลาดบางแห่งด้วยแน่ะ คุณ ๆ รู้ไหมคะว่า ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่นั้น ช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหารได้มากเลยทีเดียว แถมยังมีแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ และที่สำคัญ ยังมีวิตามิน C ที่ช่วยในเรื่องผิวพรรณและหวัดอีกด้วย
                                                


     2. ไข่ไก่ 

              ไข่ไก่เป็นสุดยอดอาหารที่หาง่ายมาก ๆ แถมยังราคาถูกอีกแน่ะ คุณ ๆ รู้ไหมว่า ไข่ไก่นั้นเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพสูง ที่ทำให้คุณได้พลังงานแต่ไม่อ้วน แถมมีประโยชน์ในการบำรุงสายตา อ้อ แถมยังมีลูทีนที่จะป้องกันผิวคุณจากการทำลายของแสงแดดอีกด้วย
                                          


    3. ถั่ว 

              ถั่วเป็นแหล่งของเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยในการส่งผ่านออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย โดยในถั่ว 1 ถ้วย จะให้ธาตุเหล็กประมาณ 16 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่สูงเลยทีเดียว นอกจากนี้ ถั่วยังมีไฟเบอร์ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้ง่ายอีกด้วย
                                       


    4. อัลมอนต์ แม็คคาเดเมีย และมะม่วงหิมพานต์ 

              เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ จากการศึกษาของนักโภชนาการ พบว่า ผู้ที่รับประทานเมล็ดพืชเหล่านี้จะมีอายุยืนกว่าผู้ที่ไม่ได้ทานถึง 2 ปีครึ่งเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีโอเมก้า 3 เอแอลเอ ที่จะส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้น ที่สำคัญยังช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีด้วย
                                       

     5. ส้ม 

              เป็นแหล่งวิตามิน C คุณภาพ ที่มีประโยชน์ต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว และช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค รวมทั้งยังมีไฟเบอร์สูง เป็นแหล่งของแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ ที่จะช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการถูกทำลาย และเสริมสร้างคอลลาเจนในผิว เรียกว่าคุณประโยชน์ครบครันเลยทีเดียว
                                      

    6. มันเทศ 

              อาหารที่หาได้ง่าย แถมยังให้ประโยชน์มากมายกับสุขภาพอีก มันเทศเป็นแหล่งเบตาแคโรทีนชั้นดีที่ช่วยในการบำรุงสายตา เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และที่หลาย ๆ คนคิดไม่ถึง คือ มันเทศมีสารต้านมะเร็งสูงอีกด้วยค่ะ
                                        
                                          
    7. บร็อคโคลี่ 

              เป็นแหล่งของวิตามินซี เอ และเค เป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา และมีสารไอโซธิโอไซยาเนทส์ (Isothiocyanates) ที่ช่วยต่อต้านมะเร็งปอด รวมถึงมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ วิตามินเคยังเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกด้วย
                                   

     8. ชา 

              แม้ว่าชาจะเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ไม่ได้ให้ผลดีต่อสุขภาพเท่าไหร่ แต่รู้ไหมว่า การดื่มชาในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นอัลไซเมอร์ มะเร็ง และทำให้สุขภาพฟันและกระดูกแข็งแรงขึ้น เพราะในชานั้นมีสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่เรียกว่า ฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพ
             
                                

     9. คะน้า 

              มีสารเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด รวมถึงมีวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สร้างภูมิต้านทานโรคที่ดี นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมเสริมสร้างการทำงานของกระดูก
       
                                 

     10. โยเกิร์ต 

              อาหารสุขภาพที่หลาย ๆ คนมักจะซื้อไว้ติดบ้าน เอาไว้ทานยามหิว และนั่นเป็นสิ่งที่ดีแล้วค่ะ เพราะในโยเกิร์ตนั้นมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี วิตามินบี 12 และโปรตีน ดังนั้น ถ้าคุณทานโยเกิร์ตให้ได้วันละ 1 ถ้วย จะทำให้สุขภาพคุณดีอย่าบอกใครเลยล่ะ
                              
                                

นอกจากการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ และ 10 อาหารสุดยอดที่เรานำเสนอไปแล้ว เพื่อนๆก็ต้องออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และอย่าลืมพกร่มในหน้าฝนด้วยน้ะคะ 

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก http://health.kapook.com/view16463.html

วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อูคูเลเล่ เล็กเเต่เเจ๊ว


 ลาล่าลาลา ลาล่าลาลา แหมๆ วันนี้อารมณ์ดีแบบนี้ ฮัมเพลงไปเรื่อยเปื่อย แต่ว่า แค่ฮัมเพลงอย่างเดียวมันไม่พอน้ะซิคะทุกคน เอ...... เราควรจะหาเครื่องดนตรีซักชนิด เล่นไม่ยาก พกพาสะดวก อืมม เราขอเสนอ อูคูเลเล่ ค่ะ เชื่อว่าหลายๆคน คงรู้จัก และคุ้นหน้าคุ้นตา เจ้าอูคูเลเล่ กันเเล้วใช่ไหมคะ แล้วรู้จักหรือเปล่าคะ ว่า เจ้าดนตรีเครื่องนี้ถือกำเนิดมาได้ยังไง เรามาดูไปพร้อมๆกันเลยค่ะ



ประวัติอูคูเลเล่ (History of Ukulele)

ความรู้อูคูเลเล่สำหรับผู้เริ่มต้น,ขายอูคูเลเล่,Ukulele ราคาถูก, Ukulele ราคาประหยัดถ้าจะพูดถึงประวัติของเครื่องดนตรีที่มีขนาดกระทัดรัดอย่างอูคูเลเล่ (Ukulele) ที่พกพาไปไหนมาไหนได้ค่อนข้างสะดวกแล้วละก็ ยาวมากเลยทีเดียว  ซึ่งสามารถหาอ่านได้จากเว็บไซต์เมืองนอก แต่เอาเป็นว่ารู้จักกันคร่าว ๆ ก็แล้วกันนะ เผื่อเอาไว้คุยกับคนอื่น ๆ ได้ว่ามันมีความเป็นมาอย่างไร

Ukulele (อูคูเลเล่) เป็นเครื่องดนตรีที่มีต้นกำเนิดมาจากฮาวาย ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 19 หรือเมื่อประมาณ 150 ปีก่อน โดยเริ่มจากที่นักดนตรีโปรตุเกสคนหนึ่งที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังชาย ฝั่ง Hanolulu ของฮาวาย และหอบเอาเครื่องดนตรีคล้ายกีตาร์จิ๋วที่เรียกว่า Cavaquinho มาด้วย จนสร้างความสนใจให้กับชาวพื้นเมืองฮาวายเป็นอย่างมากในสมัยนั้น และในที่สุดก็ได้มีการดัดแปลงเครื่องดนตรีจากโปรตุเกสดังกล่าวให้กลายเป็น อูคูเลเล่ ใช้สำหรับให้ความบันเทิงและสนุกสนานในหมู่เกาะฮาวาย และมันก็ถูกนำไปใช้กันอย่างกว้างขวางในหมู่เกาะนับตั้งแต่นั้นมา จนเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1950 ได้มีการนำ ukulele ไปเล่นทั่วโลก และได้รับความนิยมอย่างมากมาย จึงทำให้อูคูเลเล่เปลี่ยนจากเครื่องดนตรีพื้นเมืองฮาวาย กลายมาเป็นเครื่องดนตรีสากลในที่สุด


Ukulele ได้รับความนิยมถึงจุดสูงสุดในช่วงปี 1960-1985 เมื่อมีนักดนตรีชื่อดังหลายคนนำเครื่องดนตรีชนิดนี้ไปประกอบเพลง เช่น เจค ชิมาบุคุโร, จอร์จ แฮร์ริสัน, ซารา วัตกินส์ เป็นต้น ทำให้หลาย ๆ คนสรรหาเครื่องดนตรีชนิดนี้มาไว้ในครอบครองบ้าง ด้วยความที่มันเป็นเครื่องดนตรีขนาดเล็ก พกพาได้สะดวก และมีเสียงนุ่มไพเราะเหมือนกับกีตาร์ อีกทั้งยังสามารถเล่นได้หลากหลายรูปแบบ ukulele จึงได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย

สำหรับชื่ออูคู่เล เล่ "Ukulele" (ออกเสียงว่า อูกูลีเล แต่ในบ้านเราส่วนใหญ่จะออกเสียงว่า อูคูเลเล่) เมืองนอกก็มักจะเรียกมันสั้น ๆ ว่า อูกี (Uke), อู๊ค หรือ ยู๊ก ซึ่งก็เป็นชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งของเจ้าอูคูเลเล่ ส่วนความหมายของชื่อ Ukulele ซึ่งเป็นภาษาฮาวาย มาจากคำว่า "uku" ซึ่งแปลว่า "ของขวัญหรือรางวัล" ส่วนคำว่า "lele" แปลว่า "การได้มา" ดังนั้นเมื่อนำสองคำนี้มารวมกัน จึงแปลความหมายได้ว่า "ของขวัญที่ได้มา"  หรือจะแปลได้ว่า Jumping Flea ซึ่งในภาษาไทยหมายถึง หมัดกระโดด โดยน่าจะเป็นการเปรียบเทียบท่าทาง การเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้ในขณะที่จับคอร์ดว่ามีลักษณะคล้ายหมัดที่กำลัง กระโดดนั่นเอง

วิธีเลือกซื้ออูคูเลเล่ 

                                             
      สำหรับใครที่อยากเล่น อูคูเลเล่ ก็ต้องซื้อหาจับจองมาเป็นเจ้าของซึ่งสนนราคาเริ่มต้นที่ 1,500 - 50,000 หรือสูงกว่านั้นขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ทำ
        1.อูคูเลเล่ ที่ดี ต้องไม่ใช่สวยแค่รูป เสียงเป็นส่วนที่สำคัญกว่า(เว้นเสียแต่ว่า จะซื้อมาตั้งโชว์เฉย ๆ) แต่ให้ดีที่สุดคือเสียงและรูปควรจะดีทั้งคู่ ลวดลายที่ฝังมุก ทำขอบคิ้วไม่ได้มีผลกับเสียงถ้าจะต้องจ่ายเพิ่มก็ควรคำนึงถึงจุดนี้ด้วยแต่บางยี่ห้อก็ใส่เครื่องประดับเข้าไปเยอะจนทำให้เสียงทึบและหนักเข้าไปอีก

        2.ไม้ที่ใช้ทำมีส่วนสำคัญมาก ไม้แต่ละชนิดจะให้เสียงแตกต่างกันไปถ้าพอจะมีกำลังทรัพย์ ขอแนะนำให้ซื้อไม้ที่เป็นไม้แท้ทั้ง ตัว (solid)จะดีกว่าไม้อัด (composite หรือ plywood) ยกตัวอย่าง ไม้ all solidmahogany ก็จะทำจากมะฮอกกานีทั้งแผ่น ไม่ผสมอะไรใด ๆ ทั้งสิ้นแต่ถ้าเป็นไม้ composite อาจจะเป็นลักษณะที่่ว่านำไม้อัดมาทำแล้วใช้มะฮอกกานีแผ่นบาง ๆ แปะด้านหน้าเพื่อความสวยงาม


        3.ไม้ที่เป็น solid ยิ่งเล่น เสียงจะยิ่งดีขึ้นตามกาลเวลาเก็บให้เก่าอย่างเดียวก็จะไม่ดีเท่าเก็บแล้วเล่น ต้องเล่นให้ไม้มันได้สั่นได้ดิ้นบ้าง


       4.เสียงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อผ่านไปประมาณ 1 ปี แล้วน้ำหนักจะเบาลงเพราะไม้จะแห้ง สังเกตอูคูเลเล่รุ่นเก่า ๆจะเบากว่าตัวใหม่ที่เพิ่งออกมาจากโรงงานโดยส่วนตัวแล้วถ้าซื้อของมือสองแล้วเสียงมันดีอาจดีกว่าซื้อมือหนึ่งแต่เสียงไม่ดี(แล้วก็ไม่แน่ว่าอีกปีเสียงมันจะดีขึ้นมา)


        5.สังเกตบริเวณรอยต่อต่าง ๆ ควรจะต้องหนาแน่น จุดที่ควรระวังคือ บริเวณคอและบริเวณ bridge (ส่วนที่สายด้านล่างลงมาร้อย) ใช้ไปนาน ๆ บางทีคอเบี้ยวคอคด ส่วนที่เป็น bridge ถ้ากาวไม่หนาแน่น มันอาจจะหลุดออกมาได้เพราะแรงดึงของสาย (บางยี่ห้อ ยังไม่ทันจะไขให้สายตึงได้ทูน ไขไป bridgeดังแก๊ก ๆ ๆ ๆ แล้ว) สั


         6.วางอูคูเลเล่ ในแนวระนาบ แล้วเล็งดูว่าไม้มีการคดงอหรือไม่แนบตาลงไปจนชิดกับส่วนท้ายของอูคูเลเล่ แล้วส่องไปที่ส่วนหัวเราควรจะเห็นเฟรทบอร์ดเรียงตัวกันเป็นระเบียบ ถ้า อูคูเลเล่ คอเบี้ยวจะมองออกว่าเฟร็ดไม่อยู่ในแนวระนาบ อูคูเลเล่ ใหม่ ๆ ไม่ค่อยมีปัญหานี้(แต่ก็ไม่แน่) ส่วนมากอูคูเลเล่เก่า ๆ จะเป็นเนื่องจากเก็บไม่ถูกวิธี


         7.ลองขยับ ไข tuners ดูว่าหลวมหรือเปล่า ไขได้คล่องมั้ย ถ้าเป็น frictiontuners เราอาจจะต้องไขหมุดโลหะด้านบนสุดก่อน (แล้วมันจะแน่นขึ้น)แต่ก็ไม่ควรไขจนหมุนไปไหนไม่ได้ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายกับไม้ได้


          8.ลูบ ๆ คลำ ๆ โดยเฉพาะส่วนที่เป็นขอบของเฟทบอร์ด ควรจะถูกตะไบให้เรียบร้อยไม่ให้มีส่วนแหลมคม คงไม่ดีแน่ถ้าเล่นแล้วเฟรทแทงฉึก เลือดพุ่ง


          9. ลูบ ๆ คลำ ๆ (อีกแล้ว) ไปรอบ ๆ เพื่อดูว่าแล็คเกอร์ถูกทาสม่ำเสมอทั่วตัวหรือไม่ (เว้นรุ่นผิวด้าน อาจจะดูยากนิดนึง)





อูคูเลเล่ กีตาร์ฮาวาย

          10.สังเกตโดยรอบว่ามีรอยแตก รอยหัก รอยบิ่น รอยข่วนใด ๆ หรือไม่ของมือหนึ่งไม่ควรจะเป็นรอย ของมือสองอาจจะมีรอยบ้าง ถ้าเป็นแค่รอยข่วน(scratch) ที่ผิวแลกเกอร์ไม่ได้กินลึกเข้าไปในเนื้อไม้ ก็เป็นเรื่องปกติเพราะเกิดจากการผ่านการเล่น ผ่านการสตรัม แต่ถ้าเป็นรอยแตกของเนื้อไม้(crack) ต้องระวังให้ดี เพราะเล่นไปนาน ๆ อาจจะแตกเพิ่มถ้าไม่ซ่อมแซมแต่บางรอยแตกเป็นแบบแตกบาง ๆ (hairline crack) ก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมถ้ารอยแตกใหญ่ถึงขนาดที่ส่องอูคูเลเล่กับไฟแล้วเห็นทะลุลอดไปได้ควรจะระวังเป็นพิเศษ 

          อ้อ..อย่า ลืมส่องดูข้างใน sound hole เผื่อเจอแมงมุมทำรังอยู่ระวังโดนกัด สังเกตดูพวก braces (กระดูกงู หรือเปล่า) ที่อยู่ตามขอบด้านในว่างานเรียบร้อยดี

          11.ดมดู (อย่าเพิ่งขำไป) ถ้าซื้อของเก่ามือสอง กลิ่นควรจะเก่า ๆถ้ากลิ่นใหม่ให้พึงระวังว่า อาจจะผ่านการซ่อมแซมและทาแลกเกอร์ใหม่ทับ


          12.Intonation ควรจะถูกต้อง แต่ละเฟรทควรจะมีโน้ตที่ถูกต้อง ถ้ามีเครื่องdigital tuner ก็ไช้ไล่ไปเลยทีละช่อง เทียบกับตารางโน้ต ที่เฟรท 12เสียงควรจะกลับมาเป็น G C E A


          13.สตรัมเพลงโปรดสักเพลงสองเพลง แล้วลองฟังดูอาจจะให้เพื่อนไปยืนอีกฟากหนึ่งของห้อง แล้วช่วยฟัง tone และ harmonicเสียงควรจะกลมกล่อม ไม่ควรมีโน้ตใดโน้ตหนึ่งกระโดดดึ๋งออกมาโดยไม่ได้รับเชิญ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าเราฟัง เราเล่น แล้วเราชอบก็ไม่ต้องไปสนใจใคร


ในปัจจุบันการหัดเล่นด้วยตนเองเป็นอะไรที่ง่ายมาก  เนื่องด้วยเครื่องดนตรีชนิดนี้เล่นง่ายอยู่เเล้วอีกทั้งยังมี คนเก่งๆที่มาสอนลง Youtube กันเป็นจำนวนมาก ทำให้เราเล่นตามได้อย่างง่ายๆ  

เราลองมาดูตัวอย่างกันเลยค่ะ 



ขอขอบคุณ   http://musicstation.kapook.com/view25754.html        

                     http://ukebegin.blogspot.com/2013/09/history-of-ukulele-ukulele-ukulele-19.html

กีฬาวอลเลย์บอล


กีฬาวอลเลย์บอลเป็นอีกหนึ่งชนิดกีฬายอดนิยม ที่มีการแข่งขันระดับชาติ และนิยมเล่นกันอย่างแพร่หลาย จนถูกรวมเข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอนชั้นมัธยมศึกษาในหลายโรงเรียน ซึ่งคิดว่าพวกเราหลายๆคนก็คงผ่านวัยนั้น หรือกำลังประสบกับการ เจ็บบริเวณท้องแขน และ ปรากฎรอยแดงๆ เป็นเเถบๆกันเลยทีเดียว   จะเพราะอะไรถ้าไม่ใช่ ลูกวอลเลย์บอลล้ะจ๊าา เเต่พออ่านมาถึงตรงนี้อย่าเพิ่งกลัวการเจ็บน้ะคะ ถ้าเราฝึกไปเรื่อยๆเดี๊ยวก็ชินเอง เเละถ้ายิ่งเล่นเป็นมันก็อาจจะกลายเป็นกีฬาโปรดของเราเองเลยก็ได้น้า  วันก่อนได้นำ วิธีเล่นแฮนด์บอลไปแล้ว วันนี้เรามาดู วิธีการเล่นวอลเลย์บอลกันค่ะ 


ประวัติวอลเลย์บอล


          กีฬาวอลเลย์บอล (Volleyball) นั้น ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1895 (พ.ศ.2438) โดย นายวิลเลียม จี. มอร์แกน (William G. Morgan) ผู้อำนวยการฝ่ายพลศึกษาของสมาคม Y.M.C.A. (Young Men's Christian Association) ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการมีกีฬาสำหรับเล่นในช่วงฤดูหนาวแทนกีฬากลางแจ้ง เพื่อออกกำลังกายและพักผ่อนหย่อนใจยามหิมะตก


          โดย นายวิลเลียม จี. มอร์แกน เกิดไอเดียในการพัฒนากีฬาวอลเลย์บอลขึ้น ขณะที่เขากำลังนั่งดูเทนนิส และเลือกนำเอาตาข่ายกลางสนามของกีฬาเทนนิส มาเป็นส่วนประกอบในกีฬาที่เขาคิดค้น และเลือกใช้ยางในของลูกบาสเก็ตบอล มาเป็นลูกบอลที่ใช้ตีโต้ตอบกันไปมา แต่ยางในของลูกบาสเก็ตบอลกลับให้น้ำหนักเบาจนเกินไป จึงเปลี่ยนไปใช้ลูกบาสเก็ตบอลแทน ซึ่งลูกบาสเก็ตบอลก็มีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากจนเกินไปอีก เขาจึงสั่งทำลูกบอลขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ ในขนาดเส้นรอบวง 25-27 นิ้ว และกำหนดน้ำหนักไว้ที่ 8-12 ออนซ์ จากนั้นจึงตั้งชื่อกีฬาชนิดนี้ว่า มินโทเนตต์ (Mintonette)


          ต่อมา ชื่อของ มินโทเนตต์ (Mintonette) ถูกเปลี่ยนเป็น วอลเลย์บอล (Volleyball) หลังได้รับคำแนะนำจาก ศาสตราจารย์ อัลเฟรด ที เฮลสเตด (Professor Alfred T. Helstead) ในงานประชุมสัมมนาผู้นำทางพลศึกษาที่วิทยาลัยสปริงฟิลด์ (Spring-field College) เมื่อปี ค.ศ.1896 (พ.ศ.2439) และกลายเป็นกีฬายอดนิยมในหมู่ประชาชนชาวอเมริกัน จนแพร่หลายออกไปทั่วโลก รวมทั้งมีการปรับปรุงและพัฒนาอยู่เป็นระยะ


กติกาวอลเลย์บอล


สนามแข่งขัน                   


          -  จะต้องเป็นพื้นไม้หรือพื้นปูนที่มีลักษณะเรียบ ไม่มีสิ่งกีดขวาง


          -   เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 9 เมตร ยาว 12 เมตร ความสูงจากพื้นประมาณ 7 เมตร มีบริเวณโดยรอบห่างจากสนามประมาณ 3 เมตร


          -  แต่หากเป็นสนามมาตรฐานในระดับนานาชาติ กำหนดให้รอบสนามห่างจากสนามประมาณ 5 เมตร ด้านหลังห่าง 8 เมตร และมีความสูง 12.5 เมตร


          -  เส้นรอบสนาม (Boundary lines) ทุกเส้นจะต้องกว้าง 5 เซนติเมตร เป็นสีอ่อนตัดกับพื้นสนาม มองเห็นได้ชัดเจน


          -  เส้นแบ่งเขตแดน (Center line) ที่อยู่ตรงกลางสนาม จะต้องอยู่ใต้ตาข่าย หรือตรงกับเสาตาข่ายพอดี


ตาข่าย


          -  จะต้องมีความสูงจากพื้น 2.43 เมตร กว้าง 1 เมตร ยาว 9.5 - 10 เมตร


          -  ตารางในตาข่ายกว้าง 10 เซนติเมตร ผู้ติดไว้กับเสากลางสนาม


          -  ตาข่ายสำหรับทีมหญิงสูง 2.24 เมตร




                                                  
ลูกวอลเลย์บอล

          -  เป็นทรงกลมมีเส้นรอบวงประมาณ 65-67 เซนติเมตร น้ำหนัก 260-280 กรัม


          -  ทำจากหนังสังเคราะห์ที่ยืดหยุ่นได้


          -  ซึ่งในการแข่งขันระดับโลกจะใช้ลูกบอล 3 ลูกต่อการแข่งขัน เพื่อความต่อเนื่องหากบอลออกนอกสนาม


ผู้เล่น


          -  ในทีมจะต้องมีผู้เล่นไม่เกิน 12 คน ผู้ฝึกสอน 1 คน ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน 1 คน เทรนเนอร์ 1 คน และแพทย์ 1 คน


          -  ผู้เล่นจะลงเล่นในสนามได้ครั้งละ 6 คน โดยแบ่งออกเป็นหน้าตาข่าย 3 คน และด้านหลังอีก 3 คน


          -  สามารถเปลี่ยนตัวผู้เล่นครั้งละกี่คนก็ได้ โดยผู้เล่นเดิมที่ถูกเปลี่ยนออก สามารถเปลี่ยนกลับมาเล่นในสนามได้อีก


          -  การแต่งกายในชุดแข่งขัน ต้องแต่งกายเหมือนกันทั้งทีม ประกอบไปด้วย เสื้อสวมคอ กางเกงขาสั้น ถุงเท้า และรองเท้าผ้าใบพื้นยางที่ไม่มีส้น โดยผู้เล่นแต่ละคนจะต้องติดหมายเลขกำกับไว้ที่เสื้อ กำหนดให้ใช้เลข 1-18 เท่านั้น สำหรับหัวหน้าทีมจะต้องมีแถบผ้าขนาด 8x2 เซนติเมตร ติดอยู่ใต้หมายเลขบริเวณอกเสื้อด้วย




วิธีการเล่น

                                         
          -  ทีมที่ได้เสิร์ฟ จะต้องให้ผู้เล่นที่อยู่ในตำแหน่งขวาหลัง เป็นผู้เสิร์ฟเพื่อเปิดเกม จากนั้นผู้เล่นทุกตำแหน่งจะขยับตำแหน่งวนไปตามเข็มนาฬิกา

          -  การเสิร์ฟจะต้องรอฟังสัญญาณนกหวีดก่อน และให้เริ่มเสิร์ฟลูกบอลภายใน 5 วินาที


          -  ทีมที่ได้คะแนนจะเป็นผู้ได้เสิร์ฟ จนกว่าจะเสียคะแนนให้ฝ่ายตรงข้ามจึงจะเปลี่ยนเสิร์ฟ


          -  เมื่อลูกเข้ามาในเขตแดนของทีม จะสามารถเล่นบอลได้มากที่สุด 3 ครั้งเท่านั้น


          -  สามารถบล็อคลูกบอลจากฝ่ายตรงข้ามที่หน้าตาข่ายได้ แต่หากผู้เล่นล้ำเข้าไปในแดนของฝ่ายตรงข้ามจะถือว่าฟาวล์


          -  สามารถขอเวลานอกได้ 2 ครั้งต่อ 1 เซต ให้เวลาครั้งละ 30 วินาที


          -  ทุกครั้งที่แข่งขันจบ 1 เซต จะต้องมีการเปลี่ยนฝั่ง


การคิดคะแนน


          -  ทีมจะได้คะแนนเมื่อลูกบอลตกลงในเขตสนามของฝ่ายตรงข้าม โดยนับเป็นลูกละ 1 คะแนน และหากมีการเสียคะแนน จะต้องเปลี่ยนให้ทีมที่ได้คะแนนเป็นผู้เสิร์ฟ


          -  หากทีมไหนได้คะแนนครบ 25 คะแนนก่อน ก็จะเป็นผู้ชนะในเซตนั้นไป แต่หากคะแนนเสมอกันที่ 24-24 จะต้องมีการดิวซ์ (Deuce) หมายถึงต้องทำคะแนนให้มากกว่าอีกฝ่าย 2 คะแนน ถึงจะเป็นผู้ชนะ เช่น 26-24 หรือ 27-25 เป็นต้น


          -  ต้องแข่งขันกันให้ชนะ 3 ใน 5 เซต จึงจะเป็นผู้ชนะในเกมนั้น


   และปิดท้ายด้วย เมื่อรู้กฎและกติกาของการเล่นกีฬาแฮนด์บอลแล้วก็ขอให้เพื่อนทุกคนมีน้ำใจนักกีฬา ไม่เล่นโกง หรือ เล่นผิดไปจากติกาอย่างตั้งใจน้ะค้ะ รู้เเพ้ รู้ชนะ รู้อภัยค่ะ

ขอขอบคุณที่มาดีๆ จาก http://hilight.kapook.com/view/71678