ใฝ่เรียนใฝ่รู้
การเรียนรู้เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้คนเราประสบความก้าวหน้าได้ทั้งในเรื่องชีวิตและ การงานและยังเป็นการเปิดโลกให้กว้างขึ้น หากใครมีกำลังวางแผนจะเที่ยวหรือไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ซึ่งสถานที่แห่งนั้นมีสิ่งใหม่ ๆ รอให้เรียนรู้อยู่มากมาย หากสิ่งใดที่เราไม่รู้ ก็ขอให้เปิดใจให้กว้างเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตเราและสามารถนำมาต่อยอดเป็นประโยชน์ให้แก่สังคมได้
บางคนขณะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทย ทุกสิ่งทุกอย่างสะดวกสบาย อะไรก็รู้ไปหมดเพราะสภาพแวดล้อมเป็นประเทศไทยของเรา คนไทย และการใช้ภาษาไทย แต่เมื่อไปอยู่ต่างประเทศซึ่งต่างวัฒนธรรม ต่างภาษาเราต้องมีการเรียนรู้และปรับตัว บางครั้งผู้เขียนได้เดินทางไปต่างประเทศ หลายสิ่งหลายอย่างก็ไม่รู้แต่ผู้เขียนก็ลองเรียนรู้ดู ลองไปขึ้นรถไฟเอง ลองเดินทางเอง ลองทำหลายสิ่งหลายอย่างที่พระสามารถทำได้นั่นคือ เราจะฉลาดจากการที่เราโง่ หรือ ไม่รู้ หรือ ทำผิดพลาดมาก่อน
เรื่องความโง่ความฉลาดนี้ ผู้เขียนมองว่า จริง ๆ แล้วไม่มีคนโง่ที่แท้จริงหรอก มีแต่ว่าเขายัง “ไม่รู้”และเรายังค้นหาวิธีที่จะสอนเขาไม่เจอก็เท่านั้น ถ้าผู้ใหญ่จะสอนเด็ก เวลาเห็นเด็กไม่เก่ง ทางที่ดีผู้สอนควรจะพูดกับเด็กว่า “เธอยังพยายามน้อยไปไหม” หรือ “ลองตั้งต้นใหม่อีกทีสิลูก” ซึ่งดีกว่าไปตัดสินว่า เด็กคนนั้นเป็นคนไม่มีคุณค่า หรือทำสิ่งใดไม่ได้เรื่องสักอย่างขณะเดียวกันสำหรับผู้ใหญ่ ในโลกของการทำงาน หากงานใดที่เราทำไม่เป็น ถ้าเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านายแนะนำก็ควรฟัง หรือควรพยายามเรียนรู้ด้วยตัวเองให้มากที่สุด แต่หากบุคคลใดที่ทำงานไม่เป็นแล้วยังมัวถือเนื้อถือตัวว่า “เฮ้ย ฉันรู้น่ะ แกไม่ต้องมาบอกฉันรู้ของฉันดี” หากพูดอย่างนี้ นอกจากมองไม่เห็นหนทางก้าวหน้าแล้ว เพื่อนร่วมงานก็ยังไม่รัก ไม่ใส่ใจอีกแล้ว ขอให้เราเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนแก้วน้ำที่มีน้ำเพียงครึ่งแก้ว เพราะแก้วที่มีน้ำเพียงครึ่งแก้วจะสามารถเติมน้ำได้เสมอแต่หากเราทำตัวเป็นแก้วที่มีน้ำเต็มอยู่แล้ว ใคร ๆ ก็ไม่อยากเติมอะไรให้ ใคร ๆ ก็ไม่อยากมาสอนเรา
ฉะนั้น ในโลกของการเรียนรู้ อย่าไปคิดว่าเรารู้แล้ว ให้คิดว่า “เรานี่ไม่รู้อะไรเลย ช่างกระจกเสียจริงเรื่องอะไร ๆ ก็ไม่รู้” หากทุกตัวเช่นนี้แล้วผู้อื่นเขาก็อยากจะสอนเรา แต่ถ้าเราทำเป็นรู้ทุกอย่างนั่นคือเรากำลังทำตัวเป็น “เต่า” เป็นสัตว์โลกล้านปี อายุยืนกว่าสัตว์โลกทั้งหมด แต่ทำไมเต่าจึงไม่โตขึ้นแม้ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ตามนั่นเพราะเนื้อของเต่าขยายตัวไม่ได้ เนื่องจากกระดองของมันแข็งและหุ้มเนื้อตัวของมันได้
บุคคลใดที่ทำตัวแข็งกร้าว ไม่อ่อนน้อม ใครแนะนำก็ไม่ฟัง เขาคนนั้นจะเป็นเหมือนเต่า นั่นคือขยายตัวไม่ได้ต่อให้มีอายุเป็นล้านปี ก็โตไม่ได้ ต่างกับ “มนุษย์” ซึ่งเกิดมาโตขึ้นทุกวัน ๆ เพราะมนุษย์รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนและปรับตัวได้ตลอด
มนุษย์คนไหนที่เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ คนคนนั้นจะเป็นคนที่มีเสน่ห์ น่าพูดคุยด้วยและประสบความสำเร็จในชีวิตได้ เช่นเดียวกับ บิล เกตต์ ถึงแม้เขาจะเรียนไม่จบ แต่กลับพบความสำเร็จ ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตและการงานนั่นเพราะเขาเป็นคนใฝ่เรียนรู้ด้วยตนเอง นี่แสดงให้เห็นว่า ...
ปัญญาไม่ได้มีอยู่แต่ในมหาวิทยาลัย แต่อยู่ในจิตใจที่ใฝ่รู้
วันนี้หากเรายังเป็นลูกน้องเขา แต่ถ้ารักการเรียนรู้ วันหนึ่งก็จะกลายเป็นนาย กลายเป็นหัวหน้าแต่หากไม่รักการเรียนรู้ วันนี้เป็นลูกน้องเขา ปีหน้าก็เป็นลูกน้อง ปีต่อไปก็เป็นลูกน้องตลอดไปเช่นนี้แล้วเมื่อไรจะเป็นหัวหน้าคน เพราะฉะนั้น ถ้าเราเรียนรู้อยู่เสมอ ในอนาคตก็จะสามารถเป็นผู้นำได้
บุคคลใดใฝ่เรียนใฝ่รู้ คนคนนั้นจะกลายเป็นยอดคน ตรงกันข้าม บุคคลใดไม่เป็นคนใฝ่เรียน ใฝ่รู้คนคนนั้นจะเป็นคนที่เห็นแก่ท้ายทอยคนอื่น เมื่อไรจะขึ้นมาอยู่ข้างหน้าบ้าง เมื่อไรจะกลายเป็นผู้นำ (Leader) ถ้าไม่เป็นคนใฝ่เรียนใฝ่รู้ เราก็จะต้องเป็นผู้ตาม (Follower) อยู่เช่นนั้นตลอด
ที่มา : http://www.gotoknow.org/blogs/posts/506936
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น