วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ความรู้เพิ่มเติม

     ในส่วนนี้ เราจะพยายามรวบรวมบทความที่เกี่ยวกับสิ่งใหม่ๆ รวมถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ และงาน   อดิเรกไม่ว่าจะเป็น การเล่นกีฬา การเล่นดนตรี


ติดตามบทความต่างๆของเราได้ในเร็วๆนี้ 
;) 

การเรียน


     ถ้าเราทันในเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันนี้  ก็ต้องนึกถึง ค่านิยมทั้ง 12 ประการ นั้นเอง ซึ่งได้บอกไปแล้วว่ามีอะไรบ้างในบทความ ค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ  ทีนี้เราจะมาเจาะลึกลงไปใน ค่านิยมข้อที่ 4 ซึ่งในข้อนี้จะมีความสำคัญมากสำหรับเด็กนักเรียน นั้นก็คือ การขยัน ใฝ่รู้ใฝ่เรียน  ทำให้เราได้รวบรวมออกมาเป็น  เคล็ด(ไม่)ลับในการเรียน สำหรับทุกคนที่มีความตั้งใจเเละความมาะนะพยายามในการเรียน  มาดูกันเลยค่ะว่ามีอะไรบ้าง 




ยังไม่หมดเท่านี้นะคะ เพราะการเรียนรู้ต่างๆ เกิดขึ้นได้รอบๆตัวเราทุกที่ทุกเวลาค่ะ ติดตามบทความอื่นๆของเราได้ในเร็วๆนี้ 
:) 

ตัวอย่างบุคคลที่ใฝ่รู้ใฝ่เรียน

หนูดี-วนิษา เรซ


วนิษา เรซ (หนูดี) เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมองและการเรียนรู้ จบปริญญาตรีเกียรตินิยมด้าน ครอบครัวศึกษา Family Studies มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ คอลเลจพาร์ค สหรัฐอเมริกา[1] จบปริญญาโทศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต (Master of Education) เกียรตินิยมในโปรแกรม Mind, Brain and Education มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา[2]

เป็นผู้นำเสนอแนวคิด ว่าคนทั่วไปก็สร้างและฝึกฝนให้ตนเป็นอัจฉริยะได้เช่นกัน และได้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า "อัจฉริยะสร้างได้" เป็น คอลัมนิสต์ หนังสือบันทึกคุณแม่ และหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ จัดรายการวิทยุ “ชั่วโมงเศรษฐกิจ” ทางสถานีวิทยุจุฬา และ และ “ข้อคิดชีวิตนี้” ทาง อสมท. (100.5) เคยร่วมแข่งในรายการอัจฉริยะข้ามคืน เป็นผู้ชนะ ล้านที่ 15 ของรายการ[3]
กล่าวได้ว่า หนูดี วนิษา เรซ เป้นบุคคลที่มีความใฝ่รู้ใฝ่เรียนมาก เธอพยายามศึกษาสิ่งรอบตัวอยู่เสมอ  ชอบหาความรู้ใส่ตัว ทั้งยังมีความขยันหมั่นเพียร  จนในที่สุดเธอก็ประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงาน ในด้านๆต่างของชีวิต รวมถึงเธอยังสามารถเเต่งหนังสือที่ช่วยพัฒนาความรู้ต่างๆ มาให้พวกเราได้ลองปฏิบัติตาม 

แนะนำหนังสือดีๆ



ไม่ยากถ้าอยากเรียนดี :ชุดเคล็ดลับพัฒนาตนเองจากเกาหลี (การ์ตูนความรู้สำหรับเด็ก)
 

    เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อมาร์คตกหลุมรักแนตตี้หัวหน้าห้อง มาร์คพยายามหาโอกาสอยู่ใกล้เธอ จึงขอครูเป็นรองหัวหน้าห้อง แต่เพราะเขาไม่มีความรับผิดชอบ จึงถูกแนตตี้ต่อว่า มาร์คจึงพยายามเปลี่ยนนิสัยใหม่ด้วยการตั้งใจเรียน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มาร์คและเพื่อนๆ ร่วมกันตั้งกลุ่มเพื่อช่วยกันอ่านหนังสือเตรียมสอบ ทำให้ทุกคนได้เรียนรู้วิธืการเรียน การอ่านหนังสือ และการใช้ชีวิตในโรงเรียนทั้งจากเพื่อนๆ และคนรอบข้าง ทำให้การเรียนดีขึ้น เช่น มาร์คที่แต่เดิมมีนิสัยขี้เกียจ ไม่มีความรับผิดชอบ แต่ในที่สุดก็กลายเป็นนักเรียนคนใหม่ที่ตั้งใจเรียน และยังได้เรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่ในสังคม การคบเพื่อน ความรัก และมิตรภาพระหว่างเพื่อนอีกด้วย


ไม่ยากถ้าอยากเตรียมพร้อมก่อนสอบ


หนังสือ "ไม่ยากถ้าอยากเตรียมพร้อมก่อนสอบ" เล่มนี้ เผยกลเม็ดเคล็ดลับ ฉบับวัยใสในการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนสอบ ที่แม้การเรียนจะไม่สนุก ยาก และน่าเบื่อ แต่เราก็ต้องเรียน เพราะการเรียนคือทางลัดที่จะทำให้ความฝันของเราเป็นจริงและเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต มาเตรียมตัวในการสอบกันเถอะ!


อัจฉริยะ เรียนสนุก



    คู่มือการใช้สมองของนักเรียนมืออาชีพ ที่คุณหนูดีได้รวบรวมเทคนิคต่าง ๆ ที่เธอใช้สมัยเรียน ทั้งที่มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ และฮาร์วาร์ด ซึงเป็นวิธีที่ทำให้มีความสุขกับการเรียนแบบง่าย ๆ และได้ใช้ชีวิตครบ   คุณหนูดีจะเริ่มให้เรารู้จักวิธีการทำงานของสมอง   วิธีการดูแล และใช้สมองให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดต่อการเรียน หลังจากนั้นก็จะบอกถึงโครงสร้างทักษะการเรียนรู้ในห้องเรียน การเตรียมพร้อมแบบนักเรียนมืออาชีพ-ก่อนเข้าห้องเรียน วิธีการเรียนของนักเรียนมืออาชีพในห้องเรียน การเตรียมตัวสอบ และปิดท้ายด้วยคู่มือช่วยชีวิตยามฉุกเฉินซึ่งก็คือธรรมะนั่นเอง   เทคนิคทั้งหมดผ่านการทดลองมาแล้วว่าได้ผลจริง เพราะ "การเรียนเก่งต้องไม่ทำร้ายสมองและสุขภาพจิต จุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดของการศึกษาก็คือการทำให้มนุษย์มีความสุข มีปัญญา และมีความเอื้ออาทรกัน" 

เปลี่ยนวิธีทำงานแค่ 1% คุณก็จะแซงหน้าคน 99% ได้แล้ว




เพิ่มประสิทธิภาพให้เหนือกว่าคนอื่นเป็น 10 เท่า ด้วยเทคนิคการทำงานที่ง่ายจนใครๆ ก็มองข้าม





การศึกษานอกห้องเรียน สิ่งดีๅที่อยู่รอบตัวเรา



การที่เรามัวแต่เรียนรู้ในห้องเรียน มันก็อาจทำให้เรารู้สึกมีความกดดัน ความเครียดขึ้นมาบ้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่เราควรที่จะเปิดโอกาสตัวเองในการเรียนรู้นอกห้องเรียนบ้าง แต่ประโยชน์จะมีอะไรบ้าง ลองมาดู 10 อันดับกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง







ชื่อ:  10.png
ครั้ง: 1665
ขนาด:  16.5 กิโลไบต์

10.พัฒนาความสัมพันธ์กับคนอื่นๆได้เป็นอย่างดี


การเรียนรู้นอกห้องเรียนจะช่วยพัฒนาทักษะความสามารถในเรื่องความสัมพันธ์อันดีงามมากขึ้น และช่วยให้เรามีความเชื่อมั่นในการพูดคุยกับผู้คนได้มากขึ้น ทำให้เราออกไปข้างนอกเปิดโลกกว้างได้มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมแต่ละคนได้เป็นอย่างดี







ชื่อ:  9.jpg
ครั้ง: 2628
ขนาด:  5.0 กิโลไบต์

9.ช่วยให้เราสามารถสำรวจค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบ


การเรียนรู้นอกห้องเรียนช่วยให้พวกเราสามารถค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบได้อย่างอิสระ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไรนัก และก็เก็บความคิด ความรู้สึกเอาไว้ในใจตลอด ซึ่งการเรียนรู้นอกห้องเรียนจะทำให้เราเข้าใจตัวเองว่า ชอบอะไร สนใจอะไรบ้าง








ชื่อ:  8.png
ครั้ง: 1661
ขนาด:  52.8 กิโลไบต์

8.ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับตัวเองมากขึ้น


คนที่ชอบเก็บตัวก็ได้ประโยชน์จากการหาความรู้นอกห้องเรียน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับตัวเองมากขึ้น ทำให้พวกเขาสามารถปรับปรุงพฤติกรรมและบุคลิกภาพของตัวเองได้เป็นอย่างดี 








ชื่อ:  7.png
ครั้ง: 1636
ขนาด:  52.3 กิโลไบต์

7.ช่วยให้เราผ่อนคลาย สบายใจ


การหาความรู้นอกห้องเรียนถือเป็นการบำบัดอย่างหนึ่ง ที่ช่วยให้เรามีความผ่อนคลาย สบายใจในยามที่เราเกิดความเครียดขึ้นมา ถือเป็นแนวทางที่ดีอย่างหนึ่งที่ช่วยบำบัดอาการต่างๆได้เป็นอย่างดี








ชื่อ:  6.jpg
ครั้ง: 1647
ขนาด:  6.2 กิโลไบต์

6.ช่วยให้เราบริหารจัดการเวลาดีขึ้น


การหาความรู้นอกห้องเรียนจะช่วยให้เราบริหารจัดการเวลาดีขึ้นมากในแต่ละวัน ทำให้เราวางแผนการงานได้อย่างเหมาะสม และมีความรอบคอบในการทำงานมากขึ้น ซึ่งเราควรที่จะหาความรู้นอกห้องเรียนเพื่อการนี้โดยเฉพาะ







ชื่อ:  5.jpg
ครั้ง: 1652
ขนาด:  10.0 กิโลไบต์

5.ทำให้เรามีความรับผิดชอบมากขึ้น


การหาความรู้นอกห้องเรียนช่วยให้เรามีความรับผิดชอบและรู้หน้าที่มากขึ้นกว่าเดิม อย่างเช่นการทำกิจกรรมต่างๆเช่น กีฬา ที่เราจะต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบกับทีมโดยส่วนรวม และยังทำให้เรากล้าเผชิญหน้าความท้าทายต่างๆมากขึ้นด้วย








ชื่อ:  4.png
ครั้ง: 1644
ขนาด:  63.6 กิโลไบต์

4.ช่วยให้เราปรับอารมณ์ตัวเองได้


แน่นอนว่าการหาความรู้นอกห้องเรียนจะช่วยให้เราปรับอารมณ์ตัวเองกับปัญหาต่างๆที่อยู่รอบตัวเราได้เป็นอย่างดี ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ทำให้เราสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆได้ไม่ยากเย็นนัก








ชื่อ:  3.png
ครั้ง: 1648
ขนาด:  59.0 กิโลไบต์

3.ทำให้เรากล้าเข้าร่วมกับสังคมมากยิ่งขึ้น


โลกของเราทุกวันนี้ เราจะต้องกล้าเข้าร่วมกับสังคมที่แตกต่างกันออกไปให้ได้ ซึ่งแน่นอนการหาความรู้นอกห้องเรียนจะช่วยเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวอีกต่อไป และก็ทำให้เราสามารถทำกิจกรรมร่วมกันกับสังคมได้อย่างสนุกสนาน







ชื่อ:  2.jpg
ครั้ง: 1618
ขนาด:  5.5 กิโลไบต์

2.ช่วยเยียวยารักษาความกดดันได้เป็นอย่างดี


ทุกวันนี้ผู้คนแทบทุกคนก็ล้วนเผชิญกับความกดดันในชีวิตเป็นอย่างมาก จนมีการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งการแก้ปัญหาที่ดีอย่างหนึ่งก็คือ การหาความรู้นอกห้องเรียนให้มากๆ ซึ่งการเรียนรู้นอกห้องเรียนจะช่วยให้เราคลายความกดดันต่างๆลดลงเป็นอย่างมาก 








ชื่อ:  1.png
ครั้ง: 1623
ขนาด:  80.3 กิโลไบต์

1.ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับชีวิตของเรามากขึ้น


สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์ต่างๆเป็นตัวทำลายพลังงานของเราลดลงไปเรื่อยๆ ซึ่งการหาความรู้นอกห้องเรียนจะช่วยหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ได้เป็นอย่างดี ที่จะเป็นตัวช่วยสร้างความเข้มแข็งอดทนมากขึ้นและก็สร้างภูมิต้านทานโรคต่างๆได้เป็นอย่างดี



ขอขอบคุณเป้นอย่างสูง : ผู้เขียน Mr.lawrence10

วิธีช่วยสร้างความขยัน ขจัดความขี้เกียจ

จากบทความที่เเล้ว  ชี้เด็กไทยเฉื่อย ไม่ขยันเรียน เท่าชาติอาเซียน!!!      เราจึงมีเคล็ดลับในการขจัดความเฉื่อย ความขี้เกียจของเราออกไป แต่!!! ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความพยายามที่จะตั้งใจเปลี่ยนเเปลงตนเองจริงๆ น้ะคะ ;)

1.ค่อยๆทำทีละอย่าง หลายๆครั้งที่ตัวผมเองเริ่มมีตัวขี้เกียจคอยกัดกินจิตใจ มันเป็นเพราะว่าผมพยายามจะทำอะไรหลายๆอย่างมากเกินไป ตอนแรกก็นึกว่าจะเป็นเฉพาะกับผมคนเดียว พอถามๆคนรอบข้างดู ผมก็ได้ค้นพบว่าผมไม่ได้เป็นอยู่คนเดียว การพยายามจะทำอะไรหลายๆอย่างให้มันเสร็จพร้อมๆกันทำให้ไม่สูญเสียพลังงานและสมาธิอย่างรวดเร็ว คุณจำเป็นต้องเลือกว่าตอนนี้ ณ ขณะนี้ คุณจะทำอะไร แล้วก็ทำซะ โดยอย่าแบ่งจิตใจหรือความกังวลใดๆทั้งสิ้นไปให้กับอย่างอื่นเด็ดขาด ผมรู้ดีครับว่ามันยาก แต่อย่างไรก็ตาม ในความคิดของผมแล้ว นีี่คือทางเลือกที่ดีที่สุด 

2.หาแรงบันดาลใจ โดยส่วนตัวแล้ว แรงบันดาลใจของผมมาจากการที่มองเห็นผู้อื่นประสบความสำเร็จในสิ่งที่ผมอยากจะทำ ผมจะหมั่นหาเรื่องราวเหล่านี้มาอ่านอยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวจาก blog จากนิตยสาร จาก google จากทุกที่ที่ผมสามารถหาได้

3.ตื่นเต้นกันหน่อย ผมเชื่อว่าทุกๆคนรู้ดีอยู่แล้วตรงข้อนี้ แต่ผมก็เห็นคนเหล่านั้นจำนวนมากละเลยข้อนี้เช่นกัน แต่มันก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก (ตัวผมเองก็เป็นอยู่บ่อยๆ) เราจะตื่นเต้นได้ยังไงกันเล่าในเมื่อ ณ เวลานี้ เราำกำลังเต็มไปด้วยตัวขี้เกียจทุกรูขุมขน คำตอบที่มัน work กับตัวผมก็คือ ต้องเริ่มจากการได้รับแรงบันดาลใจมาก่อน (กล่าวไปแล้วในข้างต้น) หลังจากที่ได้แรงบันดาลใจแล้ว ผมก็จะพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ผมได้รับแรงบันดาลใจนี้กับทุกคนที่อยู่รอบข้าง (ฟังผมโม้กันจนเบื่อ) หลังจากนั้น ผมก็จะนั่งเพ้อฝันนึกจินตนาการถึงภาพตัวผมเองตอนที่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ต้องการเป็นครึ่งชั่วโมง รู้ตัวอีกที ผมก็แทบอยากจะรีบกระโจนเข้าใส่งานทันที

4.สร้างความคาดหวัง มันอาจจะฟังดูยากสักหน่อย และหลายๆคนก็มักจะไม่ทำข้อนี้กัน แต่มันสามารถทำให้ผมเลิกสูบบุหรี่ได้ หลังจากที่ผมพยายามและล้มเหลวอยู่ตั้งหลายครั้งก่อนหน้านี้ ถ้าคุณพบแรงบันดาลใจของคุณแล้ว คุณจะตื่นเต้น และอยากที่จะเริ่มทำทันที นี่คือความผิดพลาดใหญ่หลวง คุณต้องกำหนดวันที่ในอนาคต อาจจะหนึ่งสัปดาห์ สองสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งหนึ่งเดือน กำหนดไว้ทำไมเหรอครับ กำหนดไว้เพื่อที่จะเป็นวันที่คุณจะเริ่มต้นทำในสิ่งที่คุณอยากจะทำ หลังจากกำหนดวันนั้นไว้แล้ว ก็ให้สร้างความคาดหวังกับมันไว้มากๆ ทำให้วันนั้นมีความสำคัญในชีวิตยิ่งกว่าวันเกิดของตัวคุณเองได้ยิ่งดี และระหว่างที่จะรอให้วันมาถึง ก็ขอให้ใช้เวลานี้ของคุณวางแผนการขั้นตอนซะ นี่เป็นเทคนิคสำคัญที่จะช่วยสร้างสมาธิและพลังงานทีคุณต้องใช้ในการที่จะบรรลุเป้าหมายของคุณ

5.แปะเป้าหมายของคุณให้อยู่ทุกที่ เขียนตัวใหญ่ๆเลยครับ เอาให้ตัวหนังสือใหญ่กว่าับัตรประชาชนไปเลย หลังจากนั้นก็นำเป้าหมายที่พิมพ์ออกมาไปแปะไว้ทุกที่ที่คุณจะต้องเดินผ่าน ไม่ว่าจะเป็นกระจกในห้องน้ำ ตู้เย็น โต๊ะที่ทำงาน ทำเป็นภาพ background บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ คุณจำเป็นต้องย้ำเตือนตัวเองให้บ่อยที่สุดและสร้างความตื่นเต้นของคุณให้มากที่สุด ถ้าไม่เป็นตัวหนังสือ ใช้ภาพแทนก็ได้นะครับ (บางคนที่อยากลดความอ้วน ก็ให้ติดภาพสาวเอวบางร่างน้อยเอาไว้ทุกซอกทุกมุมเลยก็ดีครับ) 

6.ป่าวประกาศให้ชาวบ้านรับรู้ ไม่มีใครหรอกครับที่อยากจะมีภาพลักษณ์แย่ๆในสายตาชาวบ้าน พวกเราทุกคนจะยอมทุ่มทุกอย่างเพื่อที่จะทำให้อะไรสักอย่างสำเร็จ ถ้าหากว่าเราสัญญากับสาธารณชนไว้ (ยกเว้นนักการเมืองบางคน) ถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็คือ ตอนที่ผมจะวิ่งมาราธอน ผมได้เขียนถึงความมุ่งมั่นของผมข้อนี้ลงในหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้านของผม ประชากรเป็นร้อยคนรับรู้ว่าผมจะวิ่งมาราธอน ผมติดอยู่ในสถานะที่ผมจำเป็นต้องวิ่งมาราธอนให้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม และมันกได้ผลครับ สุดท้าย ผมก็สามารถกัดฟันวิ่งมาราธอนเข้าเส้นชัยจนได้ ไม่ครับ ผมไม่ได้บอกว่าคุณต้องทำถึงขนาดนี้ แต่คุณสามารถป่าวประกาศให้ครอบครัวและเพื่อนร่วมงานของคุณทราบได้ หรือไม่ก็ คุณก็สามารถเขียนมันลงไปใน blog ก็ได้นครับ (ถ้ามี) แล้วไม่ใช่แค่พูดครั้งเดียวแล้วจบกันนะครับ คุณต้องคอยรายงานความก้าวหน้าเรื่อยๆ เป็นการบังคับตัวคุณเองทางอ้อมที่ได้ผลมากๆเลยทีเดียว

7.คิดถึงเป้าหมายทุกวัน ถ้าคุณคิดถึงเป้าหมายของคุณทุกวัน โอกาสที่มันจะกลายเป็นความจริงจะมีสูงมาก การพิมพ์เป้าหมายของคุณด้วยตัวหนังสือตัวใหญ่ๆแล้วนำไปแปะให้คุณเห็นอยู่ตลอด (ที่กล่าวไว้ข้างต้น) ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตาม สามารถช่วยได้มาก แบ่งเวลาสักวันละ 5 นาทีก็ได้ครับ เพื่อที่จะปล่อยให้ความคิดของคุณล่องลอยไปกับเป้าหมายทีใฝ่ฝันเอาไว้ มันจะมีผลมหาศาลเลยทีเดียวในระยะยาว

8.ต้องมี Support มันเป็นอะไรที่ยากมากๆที่จะบรรลุเป้าหมายได้ หากคุณต้องทำอยู่คนเดียว ตอนที่ผมตัดสินใจจะวิ่งแข่งมาราธอน ผมได้รับกำลังใจอย่างมากจากเพื่อนๆและครอบครัว รวมไปถึงสมาชิกในชมรมนักวิ่งทุกคน ตอนที่ผมตัดสินใจจะเลิกสูบบุหรี่ ผมได้รับกำลังอย่างมากอีกเช่นเดียวกันจากเพื่อนๆในเว็บบอร์ด และแน่นอน ภรรยาของผมก็คอยให้กำลังใจทุกเช้าทุกเย็น คุณเองเวลาจะทำอะไรอย่างนึง ก็จำเป็นต้องหา support ของคุณ ไม่ว่าจะเป็น support ในออนไลน์หรือออฟไลน์ก็ตาม

9.ทุกอย่างมีขึ้นมีลง ความขยันและความมุ่งมั่นใช่ว่าจะมีอยู่ตลอดเวลา ถ้าจะให้เปรียบ มันก็เหมือนน้ำขึ้นน้ำลงนั่นแหละครับ เวลาที่เรารู้สึกท้อแท้ ตระหนักไว้เลยครับว่าเดี๋ยวมันก็หาย ระหว่างที่รอให้ตัวคุณเองกลับมารู้สึกฟิตอีกครั้ง ก็ขอให้คุณลองอ่านเรื่องราวที่ประสบความเร็จของผู้อื่นไปพลางๆ หรือไม่ก็ขอความช่วยเหลือจาก idol ของคุณดูก็ได้ครับ ขอให้อดทนต่อไปสักหน่อย อีกไม่นาน ตัวขี้เกียจพวกนี้มันก็จะหลุดไปจนหมดเอง

10.อย่าออกนอกเส้นทาง ไ่ม่ว่าคุณจะทำอะไรอยู่ก็ตาม อย่ายอมแพ้หรือเลิกกลางคันเด็ดขาด ถึงแม้ว่าวันนี้ คุณจะรู้สึกขี้เกียจสุดๆ (หรืออาจจะรู้สึกขี้เกียจเป็นสัปดาห์เลยก็ได้) ขอให้รอสักหน่อย เดี๋ยวตัวขี้เกียจมันจะหลุดของมันไปเอง ให้ลองคิดว่าเป้าหมายของคุณคือการเดินทางไป Mordor เพื่อทำลายแหวนของ Frodo ใน Lord of the Rings ก็ได้ครับ ส่วนตัวขี้เกียจที่แวะมาเยือนเป็นครั้งคราวก็เปรียบเหมือนอุปสรรคนานัปการที่ Frodo กับ Sam ต้องเจอะเจอ แล้วคุณจะพบว่า การถอดใจตอนนี้เพียงเพราะว่าปัญหาขี้ปะติ๋วเหล่านี้ มันเป็นเรื่องที่น่าอายมากๆเลยทีเดียว

11.ก้าวสั้นๆ ถ้าคุณกำลังรู้สึกว่ามันยากเหลือเกินที่จะเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง มันอาจจะเป็นสาเหตุมาจากการที่คุณคิดจะเริ่มทำสิ่งที่ใหญ่เกินไป ถ้าคุณต้องการจะเริ่มออกกำลังกาย คุณอาจจะคิดว่า คุณต้องออกกำลังกายวันหนึ่งชั่วโมง สัปดาห์ละห้าวัน การคิดแบบนี้มันจะทำให้คุณรู้สึกท้อแท้ ถอดใจ และขี้เกียจเอาง่ายๆ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ทำไมถึงไม่ลองคิดจะออกกำลังกายวันละ 2 นาทีดูละครับ ใช่ครับ 2 นาทีเท่านั้น! ใครกันละครับที่จะออกกำลังกายวันละ 2 นาที ทุกๆวันไม่ได้ (ถ้าคุณคือคนๆนั้น ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ) มันน้อยเสียจนคุณอาจจะอยากเพิ่งเวลาให้กับมัน แต่อย่าเพิ่งครับ เอาแค่ 2 นาทีนี่แหละครับ แล้วทำไปเรื่อยๆติดต่อกันหนึ่งสัปดาห์ พอผ่านไปครบ 1 สัปดาห์แล้ว อาทิตย์นี้ เรามาลองออกกำลังกายวันละ 5 นาทีกัน แล้วก็ทำแบบนี้เป็นเวลาอีก 7 วัน แล้วก็ทำไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆ เพียงเวลาแค่ 2-3 เดือน คุณก็จะพบว่าตัวเองกำลังออกกำลังกายวันละ 30 นาที ทุกวัน โดยไม่ต้องใช้ความพยายามเลยแม้แต่นิดเดียว อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือการตื่นนอนตอนเช้า อย่าเพิ่งเริ่มโดยการคิดว่า จากนี้ไป เราจะตื่นตอนตี 5 ทุกวัน แต่ให้เราเริ่มจากการตื่นนอนเร็วขึ้นกว่าปกติสัก 10 นาทีเป็นเวลาสักหนึ่งอาทิตย์ หลังจากกนั้นก็ค่อยๆเพิ่มไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึง ตี 5 ก้าวทีละสั้นๆ แต่ได้ผลอย่างยั่งยืนจริงๆครับ

12.นำความสำเร็จที่ได้รับมาแปลงเป็นพลังให้ก้าวต่อไป การที่เราเริ่มทำอะไรเล็กๆน้อยๆอย่างที่ยกตัวอย่างไปในข้างต้นนี้ มันจะทำให้เราประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้อย่างแน่นอน และเมื่อเราทำสำเร็จ จงเก็บเอาความรู้สึก ณ ช่วงเวลาแห่งความสำเร็จนั้นไว้ และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังในการก้าวเดินไปบนถนนสายที่เราเลือกต่อไป มันจะทำให้การเดินทางของเราบนถนนสายนี้เป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยความสำเร็จระหว่างจริงๆ พอรู้ตัวอีกที ว้าว! นี่ทุกวันนี้ เราออกกำลังกายได้วันละ 50 นาทีเลยหรือนี่!

13.อ่านอะไรก็ได้เกี่ยวกับเป้าหมายของคุณทุกวัน เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมรู้สึกขี้เกียจขึ้นมา ผมก็มักจะบังคับให้ตัวเองอ่านเรื่องราวความสำเร็จของคนอื่น มันจะทำให้ผมรู้สึกมีกำลังใจและมีแรงที่จะสู้ต่อไปได้อย่างน่ามหัศจรรย์ นอกจากนี้ มันยังทำให้ผมรู้สึกมีสมาธิในสิ่งที่ผมอ่านถึงมากกว่าเดิมอีกด้วย เพราะฉะนั้น คุณน่าจะอ่านเป้าหมายของคุณทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่คุณรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนตัวขี้เกียจดูดเอาความขยันออกไป

14.คุยเวลาขี้เกียจ คุณกำลังรู้สึกขี้เกียจอยู่รึเปล่า ถ้าใช่ โทรหาแม่ โทรหาแฟน ตั้งกระทู้ในเว็บนี้ E-Mail หาผม หรือจะติดต่อใครก็ได้ จากนั้นก็ขอความช่วยเหลือ ขอคำแนะนำ ส่วนมากแล้ว สิ่งที่เราได้ทำมักจะเป็นการบ่นตัวเองให้ชาวบ้านฟังมากกว่าว่า \"เอ๊ะ! ทำไมวันนี้ขี้เกียจจังวะ\" มันดูเหมือนจะช่วยถ่ายความขี้เกียจออกจากตัวเราไปได้บ้างอยู่เหมือนกันนะครับ

15.คิดถึงแต่ด้านดี อย่าไปใส่ใจกับความยากลำบาก นี่คือหนึ่งในปัญหายอดฮิตเลยทีเดียว ออกกำลังกายทุกวัน? แค่พิมพ์ก็ฟังดูยากแล้ว เรียกได้ว่า ยังไม่ทันเหงื่อออก ผมก็รู้สึกเหนื่อยซะแล้ว สุดท้าย ผมก็เลยไม่ได้ออกกำลังกายไปซะอย่างนั้น แต่ถ้าผมคิดดูว่า ออกกำลังกายทุกวัน มันจะทำให้ผมไม่ต้องโดนหมอฉีดยา มันจะทำให้ผมรูปร่างดี สมส่วน ถ้าผมคิดแบบนี้ มันก็จะทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นมา และสลัดตัวขี้เกียจออกไปได้

16.ขยี้ความคิดแง่ลบซะ แล้วแทนที่มันด้วยความคิดในแง่บวก มันเป็นเรื่องสำคัญมากนะครับที่คุณจำเป็นต้องเริ่มสำรวจดูความคิดของตนเอง เมื่อไหร่ที่คุณรู้ตัวว่ากำลังคิดความคิดที่มีประจุลบอยู่ เมื่อนั้นแหละครับที่คุณจะรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก อยากจะขี้เกียจตลอดชาติ ลองใช้เวลาสักสองสามวันสำรวจความคิดของตัวคุณเองดูนะครับ ดูสิว่าในเวลาที่กำหนดนี้ คุณคิดอะไรลบๆบ้าง หลังจากนั้นก็ใช้เวลาอีกสองสามวัน นั่งสำรวจความคิดของคุณเองอีกครั้งครับ แต่คราวนี้ เมื่อใดก็ตามที่ความคิดอย่างเช่น \"ยากว่ะ! ไม่ทงไม่ทำมันแล้ว!\" ผุดขึ้นในสมอง ขอให้คุณรวบรวมพลังจิตที่มีอยู่บี้ความคิดนี้ทิ้งซะ แล้วแทนที่มันด้วยความคิดที่ว่า \"โอ๊ย! ไม่เห็นจะยาก! ถ้ากุ้งแห้งนั่นทำได้ มีรึที่ฉันจะทำไม่ได้!\" มันอาจจะฟังดูยังไงๆอยู่ แต่ลองทำดูเถอะครับ มัน work จริงๆ และที่สำคัญ ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ เพราะมันเกิดขึ้นในหัวคุณทั้งนั้น!

แปลและดัดแปลงมาจาก Get Off Your Butt: 16 Ways to Get Motivated When You’re in a Slump จาก http://zenhabits.net� 
ขอขอบคุณ : http://www.dek-d.com/board/view/1481818/   เป็นอย่างสูงที่นำเคล็ดลับดีๆมาให้เรานะคะ 

ชี้เด็กไทยเฉื่อย ไม่ขยันเรียน เท่าชาติอาเซียน!!!

ชี้เด็กไทยเฉื่อย ไม่ขันแข็งเรียน เท่าชาติอาเซียน (ไทยโพสต์)ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล


          ผอ.ซีมีโอห่วงไทยไม่พร้อมเปิดเสรีอาเซียนปี 2558 ชี้เด็กไทยละเลย ไม่ขยันเรียน ไม่เหมือนบางประเทศที่ไม่มีความพร้อมเรื่องการศึกษา หรือโดนภัยธรรมชาติ ที่มีความกระตือรือร้นมากกว่า เผยอินโดนีเซียเรียนภาษาไทยเป็นภาษาที่ 3 แล้ว

          รศ.ดร.วิทยา จีระเดชากุล ผอ.สำนักงานเลขาธิการรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAMEO) กล่าวว่า ตนมองเห็นผลกระทบที่อาจจะเกิดกับการศึกษาไทยเมื่อเปิดประชาคมเสรีอาเซียน (AEC) ในปี พ.ศ.2558 ซึ่งต้องมีการเปิดเสรีทางการศึกษา แต่ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีความพร้อมในการเตรียมตัวเปิดประเทศ เมื่อเทียบกับประเทศสมาชิกอื่นๆ ในอาเซียน โดยเฉพาะเรื่องของภาษา ที่ขณะนี้หลายประเทศเตรียมตัวเรื่องใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง นอกจากนี้ยังมีหลายประเทศที่เตรียมตัวเรื่องภาษาที่สาม และเท่าที่ทราบ ขณะนี้ประเทศอินโดนีเซียเรียนภาษาไทยเป็นภาษาที่สามแล้ว
          ผอ.ซิมิโอยังให้ความเห็นอีกว่า นอกจากนี้การที่ประเทศไทยได้เปรียบเรื่องภูมิศาสตร์ทำให้ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องภัยธรรมชาติกระทบกับการศึกษาสักเท่าไหร่ อีกทั้งมีความเข้มแข็งทางวิชาการ และความพร้อมด้านต่างๆ พอสมควร ไม่เหมือนบางประเทศที่โดนทั้งแผ่นดินไหวและสึนามิ ซึ่งข้อได้เปรียบเหล่านี้ทำให้เราอาจละเลยความขยันหมั่นเพียรกับการเรียนไป ไม่เหมือนกับบางประเทศที่ไม่มีความพร้อม และโดนภัยธรรมชาติ แต่เขากับมีความขยันหมั่นเพียรที่จะเรียน ดังนั้น จึงคิดว่าฝ่ายบริหารต้องชัดเจนเรื่องนโยบายการศึกษาให้มากกว่านี้ พร้อมทั้งดำเนินการตามแผนการศึกษารับเสรีอาเซียนที่ได้วางไว้ให้เป็นรูปธรรมด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก  ไทยโพสต์